การพัฒนารูปแบบการสร้างความตระหนักในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระดับบุคคลและครอบครัว
คำสำคัญ:
self-awareness, regular exerciseบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างความตระหนักในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระดับครอบครัวและบุคคล มีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ประเมินสถานการณ์ ระยะที่ 2 ระยะปฏิบัติการและระยะที่ 3 การประเมินผล
โดยระยะประเมินสถานการณ์ เป็นการศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐานและปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมการออกกำลังกายโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม พบว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอคือ 1) ไม่มีเวลา 2) ความขี้เกียจ 3) ไม่มีแรงจูงใจมากพอหรือไม่ตระหนักในสุขภาพตนเอง 4) มีความเชื่อว่าการทำงานบ้านคือการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง และ 5) ไม่สนุกหรือไม่รู้สึกว่ามีความสุขในการออกกำลังกาย ส่วนปัจจัยภายนอกตัวบุคคลประกอบด้วย ขาดปัจจัยสนับสนุน และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
ระยะปฏิบัติการ ใช้ข้อมูลจากขั้นตอนการประเมินสถานการณ์มาพัฒนาแบบรูปแบบการสร้างความตระหนักในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระดับครอบครัวและบุคคล โดยออกแบบร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและผู้เข้าร่วมการวิจัยได้จากการประชาสัมพันธ์และรับสมัครเข้าร่วมโครงการ จำนวน 50 คน กิจกรรมเน้นการผสมผสานแนวคิดการการสร้างความตระหนักโดยการเข้าใจสุขภาพตนเอง การมีความรู้และทักษะที่เหมาะสม การสนับสนุนความรู้และทักษะที่ต่อเนื่อง การมีความสุขในการออกกำลังกายและการมีพันธะสัญญาทางสุขภาพโดยเชื่อว่าคนในครอบครัวน่าจะเป็นคู่หูสุขภาพที่เหมาะสมที่สุด
ระยะประเมินผล หลังการดำเนินกิจกรรมเป็นเวลา 3 เดือนพบว่า
- ค่าเฉลี่ยความตระหนักในการออกกำลังกายก่อนการทดลองมี เท่ากับ 50.28 และภายหลังการทดลองมีค่า เท่ากับ 88.46 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
- ค่าเฉลี่ยการปฏิบัติตัวในการออกกำลังกาย ด้านความถี่ต่อสัปดาห์ก่อนการทดลองมีค่าเท่ากับ 1.48 และภายหลังการทดลองมีค่า เท่ากับ 3.98 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
- ค่าเฉลี่ยระยะเวลาในการออกกำลังกายก่อนการทดลองมีค่าเท่ากับ 9.80 และภายหลังการทดลองมีค่า เท่ากับ 35.50 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
- ค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัว ก่อนการทดลองกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยน้ำหนักตัวเท่ากับ 65.98 และภายหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 62.48 และซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
- เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย เท่ากับ 27.09 และภายหลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 25.84 ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ความสำเร็จเกิดจากกระบวนการวิจัยอย่างมีส่วนร่วมครั้งนี้เกิดจากการที่บุคคลมีส่วนร่วมออกแบบรูปแบบการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับบุคคลและครอบครัว และทำให้เกิดความตระหนักในการปรับพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ