สถานการณ์และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : กรณีศึกษาในภาคเหนือ
Main Article Content
บทคัดย่อ
แนวคิดการกระจายอำนาจโดยการถ่ายโอนภารกิจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ยังไม่มีการประเมินสถานการณ์การดำเนินการดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม การวิเคราะห์ข้อมูลในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสถานการณ์ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลในการดำเนินการในมิติที่มีการถ่ายโอนภารกิจ
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้รับแบบสอบถามกลับจากเจ้าหน้าที่ อปท. ทั้งหมด 128 ฉบับ (ร้อยละ 24.02) อปท.ที่ส่งแบบสอบถามกลับส่วนมากเป็น เทศบาลตำบล (ร้อยละ89.84) ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นเจ้าหน้าที่ อปท. ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 72.64) อายุ 36 – 45 ปี (ร้อยละ 42.97) เคยได้รับการอบรมด้านงานคุ้มครองผู้บริโภค (ร้อยละ 55.47) ผู้บริหารหน่วยงาน (ร้อยละ 46.88) มีนโยบายให้ดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค อปท. ดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมศักยภาพผู้บริโภค ด้วยการใช้ แผ่นพับ โปสเตอร์ หรือคู่มือต่างๆ เป็นต้น (ร้อยละ 53.9) นอกจากนี้ อปท. ดำเนินการตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหาร ณ สถานที่จำหน่ายคือตรวจสอบฉลากอาหาร และคุณภาพอาหารสด (ร้อยละ 54.56 และ 62.5 ตามลำดับ) อย่างไรก็ตามเมื่อพบการกระทำผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อปท.เพียงร้อยละ 2.34 เท่านั้นที่ดำเนินคดี หรือส่งต่อให้หน่วยงานอื่นดำเนินคดี ปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคของ อปท. ได้แก่ ประเภทของ อปท. นโยบายของผู้บริหาร อปท. และการกำหนดส่วนงานที่รับผิดชอบอย่างชัดเจน
การวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้พบว่าการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ อปท.ในภาคเหนือ ดำเนินการส่วนมากเป็นการดำเนินการในเชิงส่งเสริมให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ภาคีเครือข่าย และส่งเสริมผู้ประกอบการ แต่ส่วนน้อยเป็นภารกิจด้านการตรวจสอบ และควบคุมกำกับ ซึ่งภารกิจดังกล่าวมีความจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง ซึ่งหน่วยงานงานส่วนกลางควรช่วยส่งเสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมกันดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งเป็นประชากรในท้องถิ่นนั่นเอง
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
2. ภิรมย์ พรไชยยนต์ .(2014). การกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่น : ศึกษากรณีการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในระดับจังหวัด. กรุงเทพมหานคร: สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
3. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกา .(2542). พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542. สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.
4.วีระศักดิ์ เครือเทพ และคณะ. (2557). การประเมินผลการกระจายอำนาจของไทยระยะ 15 ปี. วารสารสถาบันพระปกเกล้า.
5. Baruch Yehuda Holtom and Brooks C .(2008). Survey response rate levels and trends in organizational research. Human relations 61: 1139-1160.
6. ดาวรุ่ง คำวงศ์ และทิวทัศน์ สังฆวัตร์ .(2555). Factors Affecting Drug Use Behaviors of Village Health Volunteers - ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ยาของอาสาสม้ครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน. Thai Pharmaceutical and Health Science Journal-วารสารไทยเภสัชศาสตร์ และวิทยาการสุขภาพ, 121-126.
7. พลแก้ว วัชระชัยสุรพล .(2543). เปรียบเทียบผลของวิธีการให้การศึกษาเพื่อให้เกิดกิจกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขในโรงเรียนมัธยมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
8. ปรีดา แต้อารักษ์, นิภาพรรณ สุขศิริ และ รำไพ แก้ววิเชียร .(2008). ก้าวที่ผ่านไปบนเส้นทางการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ : ทบทวนการกระจายอำนาจด้านสาธารณสุขให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระหว่างปี 2542-2550.