ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด

ผู้แต่ง

  • น่ารัก จุดาบุตร คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา
  • เยาวพา วรรณแก้ว วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • อุษณีย์ สุขนิตย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเฉลิมกาญจนา

คำสำคัญ:

ความรู้, ทัศนคติ, พฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิด , มารดาหลังคลอด

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ ทัศคติและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด ในเขตตำบลโพธิ์ ตำบลหนองแก้ว และตำบลโพนเขวา อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โดยเป็นมารดาหลังคลอด จำนวน 103 ราย เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด แบบสอบถามทัศนคติเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด แบบสอบถามพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า 0.84-1.00 และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู้ด้วยวิธีคูเดอร์ริชารดสัน ได้ค่า 0.82 แบบสอบถามหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.76, 0.86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน

ผลการวิจัย พบว่า มารดาหลังคลอด มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอดอยู่ในระดับดี (M = 12.35, SD = 1.79) ทัศนคติในการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอดอยู่ในระดับดี (M = 2.43, SD = 0.59) และพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ยาคุมกำเนิด อยู่ในระดับดี (M = 2.37, SD = 0.64) โดยปัจจัยความรู้ในการใช้ยาคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r = - 0.070, p < 0.05) และทัศนคติการใช้ยาคุมกำเนิดมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r =  0.126, p < 0.05) ข้อเสนอแนะ หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมทัศนคติเพื่อให้เกิดพฤติกรรมการคุมกำเนิดที่เหมาะสม

เอกสารอ้างอิง

กรมอนามัย. (2563, 17 กุมภาพันธ์). สธ. จัด วิวาห์สร้างชาติ มุ่งสร้างประชากรคุณภาพ แก้ปัญหา เด็กเกิดน้อย ด้อยคุณภาพ. https://anamai.moph.go.th/th/news-anamai/19900

กรมอนามัย. (2564). คู่มือแนวทางการให้บริการวางแผนครอบครัว. สำนักส่งเสริมสุขภาพ.

กระทรวงสาธารณสุข, กรมอนามัย, สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์. (2562). ยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นระดับชาติ พ.ศ. 2560-2569.

จุฬารัตน์ ห้าวหาญ, ศีตรา มยูขโชติ, ฉวีวรรณ ศรีดาวเรือง, และชัชฎาพร จันทรสุข. (2563). การศึกษาความรู้เรื่องการคุมกำเนิด ความคิดเห็นต่อการคุมกำเนิด และเหตุผลในการเสือกวิธีคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์, 35(3), 583–594.

พัชราพร ควรรณสุ, ปทุมทิพย์ ม่านโคกสูง, และพรพิมล ควรรณสุ. (2562). การศึกษาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ของวัยรุ่นหญิงในจังหวัดนครพนม. วารสารการบริหารปกครอง, 8(1), 497-518.

ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดศรีสะเกษ เขตสุขภาพที่ 10. (2567). ร้อยละของการตั้งครรภ์ซ้ำในหญิงอายุน้อยกว่า 20 ปี. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข. https://hdc.moph.go.th/ssk/public/standard-report-detail/4f7d8042fb0a064b25f29a48f6ccd23f

สุนีย์ จุ่มกลาง, รุ่งรัตน์ ศรีสุริยเวศน์, และพรนภา หอมสินธุ์. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจใช้ยาฝังคุมกำเนิดโดยใช้แนวคิดการให้ข้อมูลข่าวสาร แรงจูงใจ และทักษะพฤติกรรมในมารดาวัยรุ่น. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 25(2), 31-42.

อรทัย ปานเพชร. (2565). รูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมของนักเรียนหญิงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. [วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยนเรศวร.

อังสินี กันสุขเจริญ. (2567). การป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำสำหรับมารดาวัยรุ่น. วารสารการพยาบาลและนวัตกรรมสุขภาพ, 1(1), e3874_1-15.

Blackstone, S. R. (2017). Women's empowerment, household status and contraceptive use in Ghana. Journal of Biosocial Science, 49(4), 423–434. https://doi.org/10.1017/S0021932016000377

Bloom, B. S. (1971). Handbook on formative and summative evaluation of student learning. McGraw-Hill.

Frost, J. J., & Lindberg, L. D. (2013). Reasons for using contraception: Perspectives of US women seeking reproductive health care. Contraception, 87(4), 465–472. https://doi.org/10.1016/j.contraception.2012.08.012

Norton, M., Chandra-Mouli, V., & Lane, C. (2017). Interventions for preventing unintended, rapid repeat pregnancy among adolescents: A review of the evidence and lessons from high-quality evaluations. Global Health, Science and Practice, 5(4), 547–570. https://doi.org/10.9745/GHSP-D-17-00131

Singh, Y. R., Gupta, A., Sidhu, J., Grover, S., & Sakrawal, K. (2023). Knowledge, attitude, and practices of family planning methods among married women from a rural area of Jaipur, Rajasthan: An observational study. Journal of Family Medicine and Primary Care, 12(10), 2476–2481. https://doi.org/10.4103/jfmpc.jfmpc_986_23

Sothornwit, J., Lumbiganon, P., Saranrittichai, K., Sangkomkamhang, U., Singhdaeng, T., & Jampathong, N. (2022). Barriers and facilitators to implementing immediate postpartum contraceptive implant programs: A formative implementation research. International Journal of Women's Health, 14, 945–956. https://doi.org/10.2147/IJWH.S370012

World Health Organization. (2018, 13 February). Family planning: A global handbook for providers (3rd ed.). Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health and WHO. https://www.who.int/publications/i/item/9780999203705

World Health Organization. (2025, 3 July). Family planning/Contraception methods. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/family-planning-contraception

Zapata, L. B., Murtaza, S., Whiteman, M. K., Jamieson, D. J., Robbins, C. L., Marchbanks, P. A., D'Angelo, D. V., & Curtis, K. M. (2015). Contraceptive counseling and postpartum contraceptive use. American Journal of Obstetrics and Gynecology, 212(2), 171.e1–171.e1718. https://doi.org/10.1016/j.ajog.2014.07.059

กรอบแนวคิดการวิจัย

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-12-23

รูปแบบการอ้างอิง

จุดาบุตร น. ., วรรณแก้ว เ. ., & สุขนิตย์ อ. . (2025). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาคุมกำเนิดของมารดาหลังคลอด. ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์, 15(2), 187–198. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/bcnsurin/article/view/279612

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย