การพยาบาลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกช็อก

ผู้แต่ง

  • อนัญญา ไทยสูง โรงพยาบาลสุรินทร์

คำสำคัญ:

ไข้เลือดออก, ภาวะช็อก

บทคัดย่อ

ความเป็นมาของปัญหา 

            โรคไข้เลือดออกช็อกเป็นภาวะวิกฤตของผู้ป่วย เนื่องจากมีผลทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดล้มเหลว เกล็ดเลือดเสียหน้าที่การแข็งตัวของเลือดช้า เกิดการสูญเสียเลือดจำนวนมาก เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้  การประเมินภาวะช็อกได้อย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นและเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนมีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

วัตถุประสงค์ 

            เพื่อศึกษาการดำเนินโรค ปัญหาสุขภาพ การรักษาพยาบาลและผลการรักษาพยาบาล ในรายกรณีนี้ นำผลการศึกษามาใช้ประกอบเป็นองค์ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ในรายต่อไป

กรณีศึกษาและสถานที่

            คัดเลือกจากประชากรเด็กป่วยแบบเจาะจง 1 ราย ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไข้เลือดออกช็อกที่รับการรักษาในหอผู้ป่วยกุมารเวชกรรมอาคาร 6 ชั้น 3 โรงพยาบาลสุรินทร์

วิธีการศึกษา

            เป็นการศึกษาเป็นรายกรณี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังจากเอกสารเวชระเบียนผู้ป่วยในระหว่างวันที่ 5 – 12 กันยายน 2556

ผลการศึกษา

            เด็กชายไทยวัยรุ่นมาด้วยอาการมีไข้สูง 3 วัน ซึม อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย อ่อนเพลีย เมื่อเข้ารับการรักษาได้ 2วัน มีอาการไข้ลด ชีพจรเบาเร็ว Pulse pressure แคบ 20 mm.Hgเข้าสู่ภาวะช็อก ได้รับการรักษาให้สารน้ำ 5% DSS ตามภาวะช็อกวันที่ 3 ของการเข้ารับการรักษามีภาวะเลือดออกและสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีเกล็ดเลือดต่ำ มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ได้รับสารน้ำ 9% NSS เพื่อทดแทนเลือดได้รับยา Vit K, Ranidine, ทำ Nasal packing เพื่อรักษาภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหารและอวัยวะอื่นๆและมีอาการเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง (Hepatic encephalopathy) ได้รับยา Meropenam, 10% Calcium gluconateเพื่อรักษาภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อ ปัญหาสุขภาพคือ ระบบการไหลเวียนเลือดล้มเหลว สูญเสียเลือดออกจากร่างกายและมีโอกาสสูญเสียเลือดเพิ่มขึ้นอาการทางสมองจากโรคตับ ไข้สูงจากการติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออก พร่องสารอาหารสารน้ำและเกลือแร่ ไม่สุขสบายจากการคัน ได้รับการพยาบาลอย่างใกล้ชิด ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น ต่อมาอาการดีขึ้นและจำหน่ายกลับบ้านรวมรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล 8 วัน

สรุป 

            โรคไข้เลือดออก มีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต ช่วงที่วิกฤตคือช่วงที่ไข้เริ่มลง หากเกล็ดเลือดต่ำลงร่วมกับความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นก่อนไข้ลง ให้สงสัยว่าจะเกิดช็อก หากเลือดมีความเข้มข้นมากขึ้น 20% แสดงว่ามีการรั่วของพลาสม่า จำเป็นต้องได้รับสารน้ำอย่างเหมาะสม และมีภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆเกิดขึ้นได้ เช่น ตับวาย ไตวาย สมองทำงานผิดปกติ บุคลากรในทีมต้องมีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถเฉพาะ วางแผนให้การพยาบาลและติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยได้รับการแก้ไขภาวะช็อกและภาวะแทรกซ้อนได้ทันท่วงที

References

กรรณิกา ลวณะสกล.(2547).ผลของการให้ข้อมูลและการมีส่วนร่วมทางการพยาบาลอย่างมีแบบแผนต่อความกลัวของเด็กวัยเรียนโรคไข้เลือดออกในช่วงแรกรับไว้ในโรงพยาบาล. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ดารุณี จงอุดมการณ์. (2546). ปวดในเด็ก: การพยาบาลแบบองค์รวมโดยยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง.ขอนแก่น: โรงพิมพ์ศิริออฟเซ็ท.

ปราณี ทู้ไพเราะ. (2550). คู่มือยา. (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพมหานคร : N P Press Limited Partnership

พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา. (2550). การพยาบาลเด็ก เล่ม 2.(พิมพ์ครั้งที่ 5). นนทบุรี : ยุทธรินทร์การพิมพ์

เพ็ญจันทร์ สุวรรณแสงโมไนยพงศ์. (2550). คู่มือตรวจผู้ป่วยนอก.(พิมพ์ครั้งที่ 13). กรุงเทพฯ: วี.เจ.พริ้นติ้ง

รุจา ภู่ไพบูลย์. (2552). แนวทางการวางแผนการพยาบาลเด็ก.กรุงเทพมหานคร : นิติบรรณาการ

สมจิต หนุเจริญกุล. (2544). การดูแลตนเอง: ศาสตร์และศิลปะทางการพยาบาล. (พิมพ์ครั้งที่6). กรุงเทพมหานคร: วี.เจ.พริ้นติ้ง.

เสรี ตู้จินดา, สุจิตรา นิมมานนิตย์, ศิริเพ็ญ กัลยาณรุจ, และคณะ. (2548). แนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคไข้เลือดออกในระดับโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป.กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.

สำนักงานระบาดวิทยา. งานระบาดวิทยา. (2555). ข้อมูลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก DF+DHF+DSS.เข้าถึงได้จาก http://dhf.ddc.moph.go.th/2555.html

Ranjit, S., Kisson, N., &Jayakumar, I. (2006). Aggressive management of denque shock syndrome may decrease mortality rate: A suggest protocol. Pediatric Critical Care Medicine, (4), 412-419.

Kittikul, L., Pitakarnjanakul, P., Sujirarat, D.,&Siripanichgon, K. (2007). The difference of clinical manifestations and laboratory findings in children and adults with denque virus infection.Journal of Clinical Virology, 39, 76-81.

Kathyn, S. (2007).Denquefever : What hope for control? The Lancet, 7(10), 636.Retreived from http://www.thelancet.com

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2019-09-03