ประสิทธิผลและความพึงพอใจของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุข และบุคคลทั่วไป ต่อการได้รับความรู้เรื่องสารก่อมะเร็งที่พบในชีวิตประจำวัน ผ่านสื่อวีดีทัศน์

ผู้แต่ง

  • จารุพรรณ จำปาศรี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  • อมรรัตน์ จู้สวัสดิ์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  • อรสุดา ประดิษภู่ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  • ปภาวิน แจ่มศรี สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
  • สุดธิณีย์ ทองจันทร์ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

คำสำคัญ:

สื่อวีดีทัศน์, สารก่อมะเร็ง, บุคลากรทางการแพทย์

บทคัดย่อ

ปัจจัยที่สำคัญต่อการเกิดโรคมะเร็งส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม การที่ประชาชนได้รับความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็งและวิธีการป้องกันที่ถูกต้องอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในอนาคต ดังนั้นคณะผู้วิจัยจึงได้จัดทำสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง “สารก่อมะเร็งที่พบในชีวิตประจำวัน” ประกอบด้วยสารก่อมะเร็งทั้งหมด 12 ชนิด โดยมีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพของสื่อวีดีทัศน์ก่อนนำมาใช้จริง ประเมินความรู้ความเข้าใจก่อนและหลังรับชมสื่อวีดีทัศน์ รวมทั้งศึกษาความต้องการของรูปแบบสื่อและช่องทางการได้รับข้อมูล การวิจัยครั้งนี้เป็นรูปแบบการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) โดยได้ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัย one group pretest-posttest design ซึ่งผลการศึกษาจากการสุ่มตัวอย่างจำนวน 355 คน พบว่าผลคะแนนเฉลี่ยหลังรับชมวีดีทัศน์ (X ̅=13.65, S.D.=1.429) สูงกว่าก่อนรับชมวีดีทัศน์ (X ̅=11.65, S.D.=1.708) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที P< 0.05 นอกจากนี้เมื่อทำการแบ่งกลุ่มตัวอย่างตามบทบาทหน้าที่ทางการแพทย์พบว่ากลุ่มบุคลากรทางการแพทย์มีค่าคะแนนเฉลี่ยการวัดความรู้ สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ผลการศึกษาการประเมินความพึงพอใจคุณภาพของสื่อวีดีทัศน์ของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านรูปแบบสื่อวีดีทัศน์ที่นำเสนอ ด้านการได้รับความรู้ความเข้าใจ และด้านการปรับนำไปประยุกต์ใช้ พบว่ามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด จากการสำรวจความต้องการรูปแบบสื่อและช่องทางการรับข้อมูลเรื่องโรคมะเร็ง พบว่าทุกกลุ่มช่วงอายุมีความต้องการรับข้อมูลในรูปแบบสื่อวีดีทัศน์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ความต้องการรูปแบบช่องทางสื่อในแต่ละกลุ่มช่วงอายุนั้นแตกต่างกัน โดยกลุ่มช่วงอายุ 12-30 ปี และ 31-50 ปี มีความต้องการรับข้อมูลในช่องทางเฟซบุ๊กมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มช่วงอายุ 51-70 ปี และอายุ 70 ปีขึ้นไป มีความต้องการรับข้อมูลในช่องทางสื่อโทรทัศน์มากที่สุด จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าสื่อวีดีทัศน์ชุดนี้สามารถนำไปปรับใช้ในการให้ความรู้กับประชาชนได้ นอกจากนี้การให้ความรู้ควรคำนึงถึงรูปแบบสื่อและช่องทางสื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายที่เราให้ความสนใจ

เอกสารอ้างอิง

Rojanamatin J, editor. Cancer in Thailand. Vol. X, 2016-2018. Bangkok; 2021. p.10-11.

Anand P, Kunnumakkara AB, Sundaram C, Harikumar KB, Tharakan ST, Lai OS, et al. Cancer is a Preventable Disease that Requires Major Lifestyle Changes. Pharm Res 2008 Sep; 25(9): 2097-2116.

World Health Organization [Internet]. List of Classifications: Agents classified by the IARC Monographs, Volumes 1-130. Available at : https://monographs.iarc.who.int/ agents-classified-by-the-iarc/. Accessed Feb 21, 2022.

Rosenstock I. Historical Origins of the Health Belief Model. Health Education Monographs. 1974;2(4):328-335.

นันทฉัตร ระฮุง, นันทพร ภัทรพุทธ, ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์. ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพต่อการเกิดมะเร็งกับพฤติกรรมการป้องกันตนเองของผู้ประกอบอาชีพริมถนน.วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา 2561;13(2):67-78.

Penrawee M, Kitiphong H, Mayuna S and Orawan K. Cancer Risk Perception and Preventive Behaviors among Grilled Meat Vendors. J Med Assoc Thai 2012;95(6):56-60.

พรแก้ว เหลืองอัมพร, แอนน์ จิระพงษ์สุวรรณ, สุรินธร กลัมพากร, สรา อาภรณ์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันอันตรายจากการใช้สารเคมีของช่างเสริมสวย ในกรุงเทพมหานคร. วารสารพยาบาลสาธารณสุข 2557;28(2):51-64.

นิตยา บุญปริตร และสมปอง อ้นเดช. ผลการใช้สื่อมัลติมีเดียเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารสำหรับผู้ประกอบการอาหารในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. วารสารการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย 2558;2:25-34.

อาภา ศรีสร้อย และอมรรัตน์ อัครเศรษฐสกุล. การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลของสื่อแผ่นพับกับวีดีทัศน์ต่อการสอนผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดเต้านม หอผู้ป่วยศัลยกรรมหญิง โรงพยาบาลอุดรธานี. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี 2563;28(2):203-211.

Cochran, W.G. (1953). Sampling Techiques. New York : John Wiley & Sons. Inc.

ปัทมา พลอยสว่าง, อมรรัตน์ จู้สวัสดิ์, ปภาวิน แจ่มศรี, ปริณดา แพ่งเมือง, ศุลีพร แสงกระจ่าง. การประเมินความรู้ด้านโรคมะเร็งของเจ้าหน้าที่กรมการแพทย์. วารสารโรคมะเร็ง 2564;41(1):12-23.

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนระวังภัยเงียบจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ อาจนำไปสู่ภาวะตับแข็ง และมะเร็งตับ พร้อมตั้งเป้ากำจัดโรคไวรัสตับอักเสบบีและซีให้หมดภายในปี 2573. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=19966& deptcode=brc&news_views=1467. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2566.

NATIONAL CANCER INSTITUTE. Risk Factors for Cancer. Available at: https://www.cancer. gov/about-cancer/causes-prevention/risk. Accessed June 20, 2023.

ศศิธร ฐิติเพชรกุล, กนกพรรณ สมยูรทรัพย์, ก่อเกียรติ ศาสตรินทร์, ประภาศรี บุณยประภาพันธ์ และนันทวรรณ เมฆา. การปนเปื้อนเชื้อราและอะฟลาทอกซินในผลิตภัณฑ์ถั่วพร้อมบริโภค. ว กรมวิทย พ 2558 ฉบับพิเศษ 2:244-53.

NATIONAL CANCER INSTITUTE. HPV and Cancer. Available at: https://www.cancer.gov/ about-cancer/causes-prevention/risk/infectious-agents/hpv-and-cancer#what-is-hpv. Accessed June 21, 2023.

Centers for Disease Control and Prevention. Lung Cancer: What Are the Risk Factors? Available at: https://www.cdc.gov /cancer/lung/basic_info/risk_factors.htm. Accessed June 21, 2023.

พิชานี แหล่งสท้าน .รุจิรา ดวงสงค์. ผลโปรแกรมสุขศึกษาร่วมกับสื่อหนังสั้นเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในตับอายุ 40-59 ปี อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารสุขศึกษา 2563;43(2):1-17.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2023-12-15

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย