ผลการพัฒนาแนวทางการฝากครรภ์ต่อความรู้และภาวะโลหิตจางของหญิงตั้งครรภ์ในคลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลชุมแพ
คำสำคัญ:
ภาวะโลหิตจาง, หญิงตั้งครรภ์, ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงบทคัดย่อ
ที่มาและความสำคัญ: หญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์โรงพยาบาลชุมแพมีภาวะโลหิตจางเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์เกินร้อยละ 10 ต่อปี จึงพัฒนาแนวทางการฝากครรภ์ เพื่อป้องกันและแก้ไข วิธีการ: การวิจัยและพัฒนา ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยทำการศึกษาในหญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลชุมแพ ระหว่าง 1 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึง 31 มีนาคม 2563 มี 3 ระยะดังนี้ 1) วิเคราะห์สถานการณ์การให้บริการฝากครรภ์ในโรงพยาบาลชุมแพ 2) ออกแบบระบบการฝากครรภ์โดยตรวจเลือดซ้ำในช่วงอายุครรภ์ 20-24 สัปดาห์ ในกลุ่มที่ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง น้อยกว่า 37% (เดิมน้อยกว่า 35%) ตรวจเลือดอีกครั้ง เมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์และใช้ภาพพลิกให้ความรู้รายกลุ่มแก่หญิงตั้งครรภ์เรื่องภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์และการป้องกัน ให้ความรู้ซ้ำทุกครั้งที่มาผากครรภ์ 3) ดำเนินการและประเมินผล โดยให้ทำแบบทดสอบความรู้เรื่องการฝากครรภ์ การดูแลตัวเองและภาวะโลหิตจางก่อนและหลังให้ความรู้ในการฝากครรภ์ครั้งแรก พร้อมทำแบบสอบถามเจตคติและการปฏิบัติตัวต่อการป้องกันภาวะโลหิตจางเมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ผลการวิจัย: จากหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมด 309 คนพบว่ามีผู้ที่ได้รับการเจาะเลือด 20-24 และ 32 สัปดาห์ครบ 3 ครั้ง 99 คน อายุเฉลี่ย 25.78 ปี ส่วนใหญ่อาชีพรับจ้างรายได้น้อยกว่า 10,000 บาทต่อเดือน ระดับการศึกษาชั้นมัธยมปลาย และเป็นการตั้งครรภ์ ครั้งที่ 2 มาฝากครรภ์ครั้งแรกก่อน 12 สัปดาห์ร้อยละ 55.6 พบว่าคะแนนความรู้เฉลี่ยหลังการสอนมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) หญิงตั้งครรภ์มีเจตคติต่อการป้องกันภาวะโลหิตจางในระดับสูงมากที่สุด และปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางถูกต้องและเป็นประจำในสัดส่วนสูงสุด นอกจากนี้ใช้โปรแกรมใหม่สามารถพบภาวะโลหิตจางได้เพิ่มขึ้นเมื่อได้รับการรักษาและให้ความรู้พบว่าโปรแกรมใหม่สามารถที่จะลดภาวะโลหิตจางตอนอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ เป็น 7 เท่าของแนวทางเดิม (95% CI 2.4-27.5) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = <0.001) สรุป: รูปแบบการพัฒนาแนวทางการให้บริการฝากครรภ์เป็นการออกแบบการวิจัยที่ตอบสนองต่อปัญหาในพื้นที่ สามารถประยุกต์กระบวนการนี้ไปใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลชุมชนที่มีปัญหาเรื่องภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์และปรับเกณฑ์การคัดกรองที่ความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรกน้อยกว่า 37%
เอกสารอ้างอิง
จันทรรัตน์ เจริญสันติ, บรรณาธิการ. การประเมินภาวะสุขภาพของสตรีในระยะตั้งครรภ์และครอบครัว: ความรู้เบื้องต้นการพยาบาลผดุงครรภ์ เล่ม 1. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2554. หน้า 221-38.
ธีระ ทองสง, บรรณาธิการ. สูติศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5. เชียงใหม่: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2555.
อดิณา ศรีสมบูรณ์, เยาวลักษณ์ เสรีเสถียร, ฉวีวรรณ อยู่สำราญ. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมบทบาทการเป็นมารดาต่อความสำเร็จในบทบาทการเป็นมารดาของมารดาวัยรุ่นที่ไม่ได้วางแผนการตั้งครรภ์. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2554;29 (suppl.1):74-81.
ศูนย์อนามัยที่ 6 กรมอนามัย. คู่มือการดูแลผู้ตั้งครรภ์แนวใหม่. ขอนแก่น: ศูนย์อนามัยที่ 6 กรมอนามัย; 2554.
ธีระพงศ์ เจริญวิทย์, บรรณาธิการ. สูติศาสตร์ภาควิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2548. หน้า 446-52.
Williums MD, Wheby MD. Anemia in pregnancy. Med Clin North Am 1992;76:631-47.
Kelton JG, Cruickshank M. Hematologic disorders of pregnancy. In : Burrow GN and Ferris
TF, editors. Medical complications during pregnancy. 3ed. Phila-delphia:W.B. Saunders Company; 1988. p.65-94
Zhao SY, Jing WZ, Liu J, Liu M. Prevalence of anemia during pregnancy in China, 2012-2016: a meta-analysis. Zhonghua Yu Fang Yi Xue Za Zhi 2018;52:951-57.
Prema K, Neelakumari S, Ramalakshmi BA. Anemia and adverse obstetric outcome. Nutrition Reports International 1982;23:637-43.
Patel A, Prakash AA, Das PK, Gupta S, Pusdekar YV, Hibberd PL. Maternal anemia and underweight as determinants of pregnancy outcomes: cohort study in eastern rural Maharashtra, India. BMJ Open 2018;8:e021623.
Banhidy F, Acs N, Puho EH, Czeizel AE. Iron deficiency anemia: pregnancy outcomes with or without iron supplementation. Nutrition 2011;27:65-72.
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หลักสูตรวิชาสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2553. หน้า 58-9.
เฉลิมขวัญ ภู่เหลือ. ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา. วารสารสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย 2559;6:15-26.
Jaruratanasirikul S, Sangsupawanich P, Koranantakul O, Chanvitan P, Sriplung H, Patanasin T. Influence of maternal nutrient intake and weight gain on neonatal birth weight: a prospective cohort study in southern Thailand. J Matern Fetal Neonatal Med 2009; 22:1045-50.
กวินฑรา ปรีสงค์. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตัวเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการฝากครรภ์โรงพยาบาลบางนา 5 จังหวัดสมุทรปราการ. วารสารร่มพฤกษ์ มหาวิทยาลัยเกรก 2558;33:116-36.
มนัสมีน เจะโนะ. ผลของโปรแกรมการสนับสนุนและให้ความรู้เพื่อลดภาวะโลหิตจางต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์มุสลิม. [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2555.
หงสะหมุด พมมะจัน, พักตร์วิไล ศรีแสง. ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้วยวีดีทัศน์และคู่มือพฤติกรรมการับประทานยาและอาหาร และระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง ณ โรงพยาบาลแม่และเด็ก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ 2559;39:89-102.
Vingvichit P, Isaranurug S, Nanthamongkolchai S, Voramongkol N. Compliance of pregnant women regarding iron supplementation in Vientiane municipality. J Pub Health Dev 2004;11:41-52.
พันธิพา จารนัย, มยุรี นิรัตธราดร, ณัฐพัชร์ บัวบุญ. ผลของโปรแกรมส่งเสริมโภชนาการต่อพฤติกรรมด้านโภชนาการและระดับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงในสตรีตั้งครรภ์วัยรุ่น. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2561;30:59-69.
Jalambadani Z, Borji A, Delkhosh M. The effect of education based on the theory of planned behavior on iron supplementation among pregnant women. Korean J Fam Med 2018;39:370-74.
ประภาเพ็ญ สวรรณ. ทัศนคติ:การวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอนามัย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช; 2542.
พนม สุขจันทร์. สถานการณ์และการพัฒนาสื่อโภชนศึกษาในโรงพยาบาลสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีและไม่มีภาวะโรคซีด ในเขตภาคใต้ของประเทศไทย : การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพงาน. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ 2556;5:28-6.
บุญธรรม กิจปรีดา, บรรณาธิการ.วิจัยแบบสอบถาม: เทคนิคการสร้างเครื่องมือรวบรวมสำหรับการวิจัย.พิมพ์ครั้งที่7.กรุงเทพมหานคร: จามจุรีโปรดักท์; 2553. หน้า 208.
Content validity index.Retrieved December 4,2019,from http://sites.google.com.
วรรณี แกมเกตุ, บรรณาธิการ. การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย: วิธีวิทยาการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์.พิมพ์ครั้งที่3.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2555. หน้า 77-82.
World Health Organization. Intergraded management of pregnancy and children: standards for maternal and neonatal care. Geneva: World Health Organization; 2007.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง