ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อการรับรู้พลังของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน บ้านหนองหิน จังหวัดมหาสารคาม
คำสำคัญ:
การเสริมสร้างพลัง, การรับรู้พลังของผู้ดูแล, ผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการรับรู้พลังอำนาจก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในตำบลโคกก่อ บ้านหนองหิน ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม โดยวิธีเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังในผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชนซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นเองและพัฒนาโดยใช้กรอบแนวคิดการเสริมสร้างพลังอำนาจของ Gibson และผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน (IOC=1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสัมภาษณ์ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน และแบบประเมินการรับรู้พลังของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังซึ่งแบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการแสวงหาความรู้ของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรัง ในชุมชน 2) ด้านความสามารถของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน 3) ด้านความพึงพอใจในความสามารถของตนในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน 4) ด้านการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการร่วมดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน ผ่านการทดลองใช้และหาค่าความเชื่อมั่นโดยวิธีของ ครอนบาค แอลฟา ได้ค่าเท่ากับ 0.92 กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย 11 คน หญิง 19 คน อายุระหว่าง 31- 60 ปี ส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมหรือมัธยม (ร้อยละ 46.66) อาชีพเกษตรกร (ร้อยละ70) สมรสแล้ว (ร้อยละ63.33) รายได้ต่อเดือน 5,000-10,000 บาท (ร้อยละ 63.33) ประสบการณ์ดูแลผู้ป่วย 6-10 ปี (ร้อยละ 43.33) และผู้ดูแลเป็นญาติสนิท (ร้อยละ 40.00) เข้าร่วมโปรแกรมการเสริมสร้างพลังในผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลาทั้งหมด5 สัปดาห์ ประกอบด้วย สัปดาห์ที่ 1 การสร้างสัมพันธภาพและสร้างแรงจูงใจ สัปดาห์ที่ 2 การค้นพบสภาพการณ์จริงเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรัง สัปดาห์ที่ 3 การสะท้อนคิดอย่างมีวิจารณญาณ สัปดาห์ที่ 4 การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมกับตนเอง สัปดาห์ที่ 5 การคงไว้ซึ่งการปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมโดยใช้สถิติทดสอบที (pair-t test) ผลการวิจัยพบว่าการรับรู้พลังของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังทั้ง 4 ด้านเพิ่มขึ้น ภายหลังโปรแกรมการเสริมสร้างพลังในผู้ดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน 5 สัปดาห์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05
โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน ส่งผลให้ผู้ดูแลมีการรับรู้พลังอำนาจของตนเองในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
เอกสารอ้างอิง
2. กรมสุขภาพจิต. รายงานประจำปีกรมสุขภาพจิต ปีงบประมาณ 2562. [อินเทอร์เน็ต] 2562. [เข้าถึงเมื่อ 1 ธ.ค.2563]. เข้าถึงได้จาก: https://dmh.go.th/report/datacenter/hdc/
3. กลุ่มงานสุขภาพจิตและจิตเวช โรงพยาบาลมหาสารคาม. สรุปผลการดำเนินงานกลุ่มงานสุขภาพจิตและจิตเวช ปี 2562. มหาสารคาม: โรงพยาบาลมหาสารคาม; 2562.
4. Gibson CH. The process of empowerment in mothers of chronically ill children. J Adv Nurs 1995; 21:1201-10.
5. อุลิศ สมบัติแก้ว, ปลดา เหมโลหะ. ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ดูแลในการจัดการพฤติกรรมรุนแรงของผู้ป่วยจิตเภท. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์ 2559;36:93-103.
6. สุนทร ยนต์ตระกูล, อัญชุลี ประคำทอง, นิตยา ฤทธิ์ศรี, พิกุล ไชยคำภา, ศุภลักษณ์ จันหาญ. รูปแบบการ เสริมสร้างพลังอำนาจร่วมกับเทคนิคเอไอซี ในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังในชุมชน กรณีศึกษา:ตำบลโคกก่อ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. วารสารวิชาการสาธารณสุข 2557;23:413-19.
7. Bloom BS. Toxonomy of education objective: Handbook I : Cognitive domain. New York: David MCI; 1968.
8. Miller JF. Coping with chronic illness: Overcoming powerlessness. 2nd ed. Philadelphia: F.A.Davis company; 1992.
9. วริศรา ใจคำปัน. ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจแบบกลุ่มต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลใน การดูแลผู้ป่วยจิตเภทที่มารับบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสวนปรุง จังหวัดเชียงใหม่. [วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. เชียงใหม่:มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2550.
10. อรสา วัฒนศิริ, เสาวภา ศรีภูสิตโต. การพัฒนากระบวนการดูแลต่อเนื่องผู้ป่วยจิตเภทโดยทีมสหสาขาและเครือข่ายผู้ดูแลโรงพยาบาลกำแพงเพชร. วารสารกองพยาบาล 2556;40:67-83.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง