การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบ, ความรอบรู้ทางสุขภาพ, ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก, เคมีบำบัดบทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด 2) สภาพการณ์ของการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด 3) รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด และ 4) ประสิทธิผลของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด ดำเนินการ 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัดในโรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร จำนวน 70 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความรอบรู้ทางสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสภาพการณ์ของความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด จากผู้ให้ข้อมูล 9 คน ด้วยการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 3 ศึกษารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ โดยผู้วิจัยนำผลการวิจัยจากขั้นตอนที่ 1 และ 2 มายกร่างรูปแบบ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ขั้นตอนที่ 4 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด กลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นรูปแบบ SMILE Model และแบบประเมินความรอบรู้ทางสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัดมีความรอบรู้ทางสุขภาพ อยู่ในระดับไม่ดี (M=48.51, S.D.=7.32)
2. สภาพการณ์ของการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด พบว่า 1) ไม่มีการบูรณาการการสร้างเสริมความรู้ทางสุขภาพกับงานที่ปฏิบัติ 2) ไม่มีรูปแบบหรือกิจกรรมที่ชัดเจน และ 3) ขาดการติดตามประเมินผลความรอบรู้ทางสุขภาพที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
3. รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ได้รับเคมีบำบัด คือ SMILE Model ประกอบด้วย 1) S: Survey, 2) M: Meeting, 3) I: Implementation 4) L: Learning, และ 5) E: Evaluation
4. หลังใช้รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพ SMILE Model ค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทางสุขภาพของกลุ่มทดลอง สูงกว่าก่อนการทดลองและสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (p<.01)
เอกสารอ้างอิง
2. ประเสริฐ อัสสันตชัย, บรรณาธิการ. การพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพ. กรงเทพฯ: ไอกรุ๊ป เพรส; 2553.
3. โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร. สถิติผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก. ชัยนาท: โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร; 2561.
4. อัศนี วันชัย, ปิยะเนตร วิริยะปราโมทย์, นงนุช ปัญจธรรมเจริญ, ลักคณา บุญมี. ความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งที่ใช้การแพทย์เสริมและทางเลือก. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์ 2562;39:149-57.
5. Nutbeam D. The evolving concept of health literacy. Soc Sci Med 2008;67:2072-8.
6. กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. การเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ. นนทบุรี: กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
7. รุ่งนภา อาระหัง. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงสำหรับกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่ชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม. [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยคริสเตียน; 2560.
8. Crabtree BF, Miller WL. Doing Qualitative Research. London: SAGE Publications; 1992.
9. ชาตรี แมตสี่, ศิวิไลซ์ วนรัตน์วิจิตร. การสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ 2560;9:96-111.
10. ประภาศรี ภูมิถาวร, นงพิมล นิมิตรอานันท์, ศศิธร รุจนเวช. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความฉลาดทางสุขภาพสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาที่มีภาวะน้ำหนักตัวเกิน. วารสารโรงพยาบาลชลบุรี 2560;42:169-78.
11. Taggart J, Williams A, Dennis S, Newall A, Shortus T, Zwar N, et al. A systematic review of interventions in primary care to improve health literacy for chronic disease behavioral risk factors (serial online) 2012. (cited 2019 May 25). Available from: http://www.biomedcentral.com/11471-2296/13/49/prepub.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง