การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟาริน ในโรงพยาบาลปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน

ผู้แต่ง

  • วิทยา วิริยะมนต์ชัย โรงพยาบาลปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

คำสำคัญ:

การพัฒนารูปแบบ, สหสาขาวิชาชีพ, การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน, คลินิกวาร์ฟาริน

บทคัดย่อ

   วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินในโรงพยาบาลปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน และศึกษาผลหลังการพัฒนารูปแบบ จากแบบทดสอบความรู้ในการรับประทานยาวาร์ฟารินจำนวน 20 ข้อ ค่า INR ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ภาวะเลือดออกผิดปกติ และความพึงพอใจของผู้ป่วย วิธีการวิจัยและวัสดุ : การศึกษานี้เป็นการวิจัยและพัฒนาประกอบด้วย ทีมสหสาขาวิชาชีพ 6 คน ดำเนินการพัฒนารูปแบบตามแนวคิดที่ผู้วิจัยออกแบบขึ้น และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาวาร์ฟารินในโรงพยาบาลปากเกร็ด จำนวน 60 คน ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ ดูค่า INR ตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ก.ค. 2562 ที่มีค่า INR เข้าเป้าหมาย (2-3 เท่า) เฉลี่ยน้อยกว่าร้อยละ 50 หรือเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ การวิจัยแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ศึกษาสถานการณ์ พัฒนารูปแบบ ทดสอบใช้รูปแบบ ประเมินผลรูปแบบเครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) รูปแบบและแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินที่ทีมผู้วิจัยออกแบบและพัฒนาขึ้น 2) เครื่องมือรวบรวมข้อมูล 3 ส่วน (ข้อมูลผู้ป่วย แบบทดสอบความรู้ ค่า INR) 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยและญาติ ระยะเวลาการศึกษาระหว่าง 1 ส.ค.-31 ธ.ค. 2562 ผลการศึกษา : หลังการพัฒนารูปแบบคะแนนความรู้ในการใช้ยาเพิ่มขึ้นจาก 15.93gif.latex?\pm2.583 เป็น 19.83gif.latex?\pm0.526 (P < 0.001) สัดส่วนจำนวนครั้งของค่า INR ที่อยู่ในช่วงเป้าหมายของการรักษาเพิ่มขึ้นจาก 40.68% เป็น 52.15% สัดส่วนการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติลดลงจาก 2.26% เป็น 0.61% ผู้ป่วยและญาติมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด 89.45% วิจารณ์และข้อเสนอแนะ : จากผลดังกล่าวพบว่าการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินโดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน มีผลทำให้ตัวชี้วัดต่างๆ ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญน่าจะใช้เป็นนวัตกรรมต้นแบบในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้ในอนาคต

เอกสารอ้างอิง

1. คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคหัวใจ. คู่มือการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ สาขาโรคหัวใจ เรื่องการบริหารจัดการหน่วยดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด. นนทบุรี: สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข; 2559.
2. สมาคมแพทย์์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. แนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทาน. ม.ป.ท.; 2555.
3. นุชจรี กิจวรรณ. กระบวนการคิดเชิงออกแบบ : มุมมองใหม่ของระบบสุขภาพไทย. วารสารสภาการพยาบาล 2561;33:5-14.
4. Coleman K, Austin BT, Brach C, Wagner EH. Evidence on the chronic Care Model in the new millennium. Heath Aff (Millwood) 2009;28:75-85.
5. Kimmel SE, French B, Kasner SE, Johnson JA, Anderson JL, Gage BF, et al. A pharmacogenetic versus a clinical algorithm for warfarin dosing. N Engl J Med [Internet]. 2013 [cited 2019 Oct 22];369:2283-93. Available from: https://www.ncbi.
nlm.nih.gov/pubmed/24251361
6. Chiquett E, Amato MG, Bussey HI. Comparison of an anticoagulant clinic with usual medical Care: anticoagulation control, patient outcomes, and health care costs. Arch Intern Med 1998;158:1641-7.
7. นาตยา หวังนิรัติศัย, สกนธ์ สุภากุล, ภูขวัญ อรุณมานะกุล. ผลของการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟารินของคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์. วารสารเภสัชกรรมไทย 2561;10:120-8
8. Kamput V, Nakariyakul K. Clinical outcomes of warfarin monitoring in outpatients at Buddhachinaraj Phitsanulok hospital. Buddhachinaraj Medical Journal 2009;26:253-9.
9. เกสร สังข์กฤษ, ทัศนีย์ แดขุนทด. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟาริน โรงพยาบาลสกลนคร. วารสารสมาคมพยาบาลฯ สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2555;30:96-108.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2020-05-12

รูปแบบการอ้างอิง

1.
วิริยะมนต์ชัย ว. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาวาร์ฟาริน ในโรงพยาบาลปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยใช้การคิดเชิงออกแบบเป็นฐาน. JPMAT [อินเทอร์เน็ต]. 12 พฤษภาคม 2020 [อ้างถึง 28 ธันวาคม 2025];10(1):118-31. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPMAT/article/view/242276

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย