ผลของโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนต่อการทำกิจวัตรประจำวัน ในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก
คำสำคัญ:
โปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขน, กิจวัตรประจำวัน, อัมพาตครึ่งซีกบทคัดย่อ
ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกมีความบกพร่องทางกาย การเคลื่อนไหวและมีปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นอย่างมาก ผู้ป่วยไม่สามารถที่จะขยับเคลื่อนไหวร่างกายอย่างที่เคยทำได้ ส่งผลให้ระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยลดลง พยาบาลจึงมีบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก การวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดสอบ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขน โดยคัดเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงจากผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 30 คน เข้าร่วมโปรแกรมเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการสอนโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก มีค่าความตรงของเนื้อหาเท่ากับ 0.82 และแบบประเมินการทำ กิจวัตรประจำวัน มีค่าความเที่ยงของเครื่องมือเท่ากับ 0.84 นำเสนอข้อมูลเป็นค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบข้อมูลคะแนนการทำกิจวัตรประจำวันของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขน ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนเมื่อมีการวัดซ้ำ (Repeated Measures ANOVA) กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 พบว่า คะแนนการทำกิจวัตรประจำ วันเฉลี่ยของกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนเพิ่มขึ้นอย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติ ในสัปดาห์ที่ 1 [ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย=0.47, 95% CI=0.25-0.68, (p-value<0.001)] สัปดาห์ที่ 2 [ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย=2.10, 95% CI=1.68-2.52, (p-value<0.001)] สัปดาห์ที่ 3 [ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 3.77, 95% CI=3.22-4.31, (p-value<0.001] และสัปดาห์ที่ 4 [ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย=4.33, 95% CI=3.82-4.84, (p-value<0.001)] โปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มคะแนนการทำกิจวัตรประจำวันในผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกได้ แต่คะแนนการทำกิจวัตรประจำวันที่เพิ่มขึ้นนั้น มิได้เกิดจากโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนเพียงอย่างเดียว จึงควรนำโปรแกรมการฟื้นฟูมือและแขนไปศึกษาต่อและปรับใช้ในงานการพยาบาล เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกต่อไป
เอกสารอ้างอิง
2. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานประจำปี สำนักโรคไม่ติดต่อ 2560 [อินเทอร์เน็ต]. 2560 [เข้าถึงเมื่อ 18 เม.ย. 2562]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaincd.com/2016/media-detail.php?id=12986&tid=30&gid=1-015-008.
3. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดูแลผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกจากโรคหลอดเลือดสมอง (Hemiplegic Stroke) แบบผสมผสาน [อินเทอร์เน็ต]. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 23 เม.ย. 2562]. เข้าถึงได้จาก:https://www.km.dmh.go.th/asset/view.asp?id=37
4. โรงพยาบาลบางปะอิน. สถิติผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. พระนครศรีอยุธยา:ฝ่ายเวชระเบียน โรงพยาบาลบางปะอิน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา; 2562.
5. Fisher WA, Fisher JD, Harman, J. The information-motivation-behavioral skills model: A general social psychological approach to understanding and promoting health behavior. Malden: Blackwell; 2003. p.82-106.
6. บุญชม ศรีสะอาด. หลักการวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:สุวีริยาสาสน์; 2535.
7. สุทธิชัย จิตะพันธ์กุล. การวิเคราะห์ผู้สูงอายุ หลักสำคัญของเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2541: หน้า 85-6.
8. เดือนเพ็ญ ตั้งเมตตาจิตตกุล. ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจและการพัฒนาทักษะความร่วมมือในการรักษาของผู้สูงอายุโรคต้อหิน. [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2554.
9. อุ่นเรือน ศรอากาศ. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของสมาชิกครอบครัวผู้ดูแล. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ 2558;9:86-93.
10. พัชรินทร์ มาลีหวล. ผลของโปรแกรมการดูแลผู้ป่วยตามปัจจัยสิ่งเร้าและการเสริมสร้างทักษะการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวต่อการปรับตัวของผู้ป่วยอัมพาตท่อนล่าง. [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2551.
11. นันทกา แก้วเฉย. ผลของการฝึกกิจกรรมแบบมอนเตสซอรีต่อแรงบีบมือและความหวังของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2552.
12. สุจิตรา มหาสุข. ผลของโปรแกรมการให้ข้อมูล การสร้างแรงจูงใจ และการฟื้นฟูมือและแขนต่อความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุโรคหลอดเลือดสมอง. [วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2560.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง