การพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด

ผู้แต่ง

  • พิทักษ์พงศ์ พายุหะ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
  • บุษบา บัวผัน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
  • เสฐียรพงษ์ ศิวินา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด

คำสำคัญ:

การดูแลตนเองของผู้ป่วย, โรคไตเรื้อรัง

บทคัดย่อ

     การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและศึกษาประสิทธิผลการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากผู้ป่วยโรคไตที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์โดยวิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) จำนวน 392 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามและแบบบันทึก เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรู้ พฤติกรรมเสี่ยง ตลอดจนค่าการทำงานของไต ก่อนและหลังการใช้เครื่องมือในการพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน ซึ่งการพัฒนามี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การสำรวจและศึกษาสภาวะสุขภาพ 2) การวางแผน 3) การพัฒนาศักยภาพการดูแลผู้ป่วยร่วมกับครอบครัว ชุมชน และคณะทีมสหสาขาวิชาชีพ 4) การดำเนินการตามแผน และ 5) การประเมินประสิทธิผลการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน หลังจากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังเพิ่มมากกว่าก่อนการพัฒนา (p<0.001) โดยมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้นเท่ากับ 1.75 คะแนน (95% CI: 1.67, 1.98) พฤติกรรมเสี่ยงลดลงจากก่อนการพัฒนา (p = 0.001) โดยมีคะแนนพฤติกรรมเสี่ยงลดลงเท่ากับ 3.12 คะแนน (95% CI: 2.93, 3.38) และ อัตราการ กรองของไตเพิ่มมากกว่าก่อนการพัฒนา (p=0.001) โดยมีคะแนนอัตราการกรองของไตเพิ่มขึ้นเท่ากับ 9.42 คะแนน (95% CI: -10.74, -8.98)

เอกสารอ้างอิง

1. Ibrahim H, Mondress M, Tello A, Fan Y, Koopmeiners J, Thomas W. An alternative formula to the Cockcroft-Gaultand the modificationof diet inrenal diseases formulas in predicting GFR in individuals with type 1 diabetes. J Am SocNephrol 2005;16:1051-60.
2. Chuasuwan A, Praditpornsilpa K. Thailand renal replacement therapy year 2014. Report of The Nephrology Society of Thailand 2014;29:181-2.
3. สำนักงานสถิติจังหวัดร้อยเอ็ด. รายงานสถิติจังหวัดร้อยเอ็ด ปี พ.ศ. 2560. ส?ำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 2560;51-2.
4. Nephrology Society of Thailand. Clinical practice recommendation for the evaluation and management of chronic kidney disease in adults 2015. Bangkok: Nephrology Society of Thailand 2015; 63-9.
5. National Society Nephrology. KDIGO Clinical practice guideline for anemia in chronic kidney disease. Kidney international supplements 2012;2:1-64.
6. Antwi-Bafour S, Hammond S, Adjei JK, Kyeremeh R, Martin-Odoom A, Ekem I. A casecontrol study of prevalence of anemia among patients with type 2 diabetes. J Med Case Rep 2016;10:110.
7. Dalrymple LS, Go AS. Epidemiology of acute infections among patients with chronic kidney disease. Clin J Am SocNephrol 2008;3:1487-93.
8. Hung S, Kuo K, Peng C, Wu C, Wang Y, Tarng D. Association of fluid retention with anemia and clinical outcomes among patients with chronic kidney disease 2015; 150-52.
9. Ryu SR, Park SK, Jung JY, Kim YH, Oh YK, Yoo TH, et al. The prevalence and management of anemia in chronic kidney disease Patients: Result from the korean cohort study for outcomes in patients with chronic kidney disease (KNOW-CKD). J Korean Med Sci 2017;32:249-56. Doi:10.3346/jkms.2017.32.2.249
10. สุปราณี สูงแข็ง, สมพร แวงแก้ว. การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกิดภาวะไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานในจังหวัดอุดรธานี. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น 2560;24:1-8.
11. ชัชวาล วงค์สารี, จริยา กฤติยาวรรณ. การให้ความรู้แบบเข้มข้นเพื่อบำบัดภาวะน้ำเกินในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม: บทบาทพยาบาลไตเทียม. วารสาร มฉก.วิชาการ 2560;21:146.
12. สิรนันท์ กลั่นบุศย์, ลลิตตา มณีโชติ, วงศ์ผกา เลิศไชยภัณฑ์, วรรณคล เชื้อมงคล. ผลการให้คำปรึกษาเรื่องโรคและยาในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ณ แผนกผูป่วยนอก โรงพยาบาลพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี. เสวนาสารเภสัชกรรมและบริการสุขภาพ 2557;1:68-9.
13. Yamane T. Statistics: An introductory analysis. 3rd ed. New York: Harper and Row 1973;152-53.
14. Campbell DT, Stanley JC. Experimental and quasi-experimental design for research. Hope-Well, NJ: Houghton Mifflin 1963; 60-61.
15. พงษ์เดช สารการ. ชีวสถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์ข้อมุล: STATA. ขอนแก่น: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2558. หน้า 60.
16. อรุณ จิรวัฒน์กุล. สถิติทางวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อการวิจัยที่ใช้ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ.กรุงเทพฯ: วิทยพัฒน์; 2552. หน้า 52.
17. กิติมา เศรษฐ์บุญสร้าง, ประเสริฐ ประสมรักษ์. การพัฒนารูปแบบการดูแลของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตผู้ป่วย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา จังหวัดยโสธร. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น 2559;4:486-503.
18. สุภาพร องค์สุริยานนท์. การพัฒนาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารสาธารณสุขและการพัฒนา 2551;6:32-8.
19. Green LW, Kreuter MW. Health Program Planning an Educational and Ecological Approach. 4th ed. New York: McGraw-Hill; 2005.
20. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. การศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้สุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยง/ความดันโลหิตสูง. นนทบุรี: โรงพิมพ์กองสุขศึกษา; 2556. หน้า 136-7.
21. Powell SK. Case management: A practical guide for education and Practice. Philadelphia:Lippincott-Raven; 2000. p. 120-25.
22. อัมพรพรรณ ธีรานุตร, นงลักษณ์ เมธากาญจนศักดิ์, ปัทมา สุริต, วาสนา รวยสูงเนิน, ดลวิวัฒน์ แสนโสม, จันทร์โท ศรีนา, และคณะ. การพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อชะลอการล้างไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง. ขอนแก่น: โรงพยาบาลชุมแพ; 2560. หน้า 57.
23. Ryan P, Sawin KJ. The individual and family self-management theory: Background and perspectives on context process and outcomes. Nursing outlook 2009;57:217-25.
24. วริยา เสนาฮาด. การพัฒนารูปแบบการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวานโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงใหญ่ อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม. มหาสารคาม: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอวาปีปทุม; 2561. หน้า 167-8.
25. ประภารัตน์ ประยูรพรหม, จุฑารัตน์ บางแสง, สมควร พิรุณทอง, อภิญญา สัตย์ธรรม. การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังโรงพยาบาลชัยภูมิ.วารสารกองการพยาบาล 2559;43:11-33.
26. ชัชวาล วงค์สารี. ผลของโปรแกรมการให้ความรู้แบบเข้มข้นต่อความรู้และพฤติกรรมการจำกัดน้ำของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม. สมุทรปราการ: มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ; 2557. หน้า 201-3.
27. เบญจมาส เรืองดิษฐ์, เสาวลักษณ์ อุไรรัตน์,ชูลินดา สะมะแอ. การพัฒนาพฤติกรรมการดูแลตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในเครือข่ายบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โรงพยาบาลสงขลา. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ 2559;3:194-207.
28. สุนิสา สีผม. การจัดการตนเองในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย 2556;6:12-8.
29. นฤมล แก่นสาร. การพยาบาลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการล้างไตทางช่องท้อง แบบต่อเนื่องที่มีการติดเชื้อของเยื่อบุช่องท้อง:กรณีศึกษา 2 ราย. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม. 2558;12:81-91.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-09-23

รูปแบบการอ้างอิง

1.
พายุหะ พ, บัวผัน บ, ศิวินา เ. การพัฒนารูปแบบการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน จังหวัดร้อยเอ็ด. JPMAT [อินเทอร์เน็ต]. 23 กันยายน 2019 [อ้างถึง 27 ธันวาคม 2025];9(2):179-8. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JPMAT/article/view/217636

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ