การศึกษาผลของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
คำสำคัญ:
รักษาแบบประคับประคอง, ผู้ป่วยระยะสุดท้ายบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบทบทวนเวชระเบียนย้อนหลัง เพื่อศึกษาผลของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง โรงพยาบาลบางปะหันตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559-28 กุมภาพันธ์ 2561 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำนวน 32 รายที่มี Palliative Performance scale (PPS) น้อยกว่า 50 โดยแบ่งเป็น เพศชาย 20 ราย และเพศหญิง 12 ราย ข้อมูลส่วนทั่วไปของประชากรอายุเฉลี่ย 64.5 13.7 ปี จากผู้ป่วยทั้งหมด 32 รายเป็นผู้ป่วยมะเร็ง จำนวน 28 ราย คิดเป็นร้อยละ 87.5 ประกอบด้วยผู้ป่วยมะเร็งตับร้อยละ 18.8 มะเร็งปอดร้อยละ 12.5 มะเร็งหลังโพรงจมูกร้อยละ 9.4 มะเร็งท่อน้ำดีร้อยละ 6.3 มะเร็งตับอ่อนร้อยละ 6.3 มะเร็งหลอดอาหาร ร้อยละ 6.3 มะเร็งสมองร้อยละ 6.3 มะเร็งเต้านมร้อยละ 6.3 มะเร็งปากมดลูกร้อยละ 3.1 มะเร็งรังไข่ร้อยละ 3.1 มะเร็งลำไส้ร้อยละ 3.1 มะเร็งกล่องเสียงร้อยละ 3.1 และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองร้อยละ 3.1 และไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 12.5 พบว่าอาการนำมาสู่การรักษาจากการใช้เครื่องมือประเมินและติดตามอาการต่างๆ ในผู้ป่วยระยะสุดท้าย Edmonton Symptom Assessment System (ESAS) โดยประเมินค่ามัธยฐาน (Mdn) และพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ (IQR) พบว่าอาการของผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่นำมาสู่การรักษา อันดับแรกคือ อาการอ่อนเพลีย (Mdn=7.5, IQR=5-8) รองลงมาคือ อาการเบื่ออาหาร (Mdn=6.5, IQR=4-8) อาการปวด (Mdn=6, IQR=3-8.8) อาการเหนื่อยหอบ (Mdn=5, IQR=1.3-7.8) อาการง่วงซึม (Mdn=4, IQR=1-5) และลำดับสุดท้ายคืออาการคลื่นไส้ (Mdn=2, IQR=0-4) ตามลำดับ หลังจากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแบบประคับประคองเปรียบเทียบก่อนและหลังเข้ารับการรักษาพบว่า อาการอ่อนเพลีย อาการปวด อาการเบื่ออาหาร อาการเหนื่อยหอบอาการคลื่นไส้มีมีอาการลดลงแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) มีเพียงอาการง่วงซึมที่ไม่มีความแตกต่าง และเมื่อรักษาจนกระทั่งเสียชีวิตพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เสียชีวิตอย่างสงบตามที่ผู้ป่วยวางแผนไว้จำนวน 31 รายคิดเป็นร้อยละ 96.9 มีผู้ป่วย 1 ราย ที่ไม่ได้เสียชีวิตอย่างสงบตามที่วางแผนไว้ คิดเป็น ร้อยละ 3.1 จากการวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อการวางแผนพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย สามารถลดอาการของความทุกข์ทรมานและช่วยทำให้ได้ตายดีตามที่ผู้ป่วยได้วางแผนดูแลตนเองไว้ล่วงหน้า แต่อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามดูแล ผู้ดูแลผู้ป่วยหลักหรือครอบครัวผู้ป่วยภายหลังผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วต่อไป
เอกสารอ้างอิง
2. สายพิณ หัตถีรัตน์. เอกสารประกอบการสอนเรื่อง การดูแลปัญหาสุขภาพครอบครัวที่มีสมาชิกใกล้ตาย (Working with the dying). กรุงเทพฯ: ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี; ม.ป.ป.
3. ห้องสิน ตระกูลทิวากร. Quality end of life care. อนุสารมีดี 2550;7: หน้า 1-5.
4. ดาริน จตุรภัทรพร. วิธีการประเมินความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองของผู้ป่วยโดยใช้ Palliative Performance Scale (PPS) ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 28 มีนาคม 2561]. เข้าถึงได้จาก: https://med.mahidol.ac.th/fammed/th/postgrad/doctorpalliative3th
5. Chewaskulyong B, Sapinun L, Downing GM, Intaratat P, Lesperance M, Leautrakul S, et, al. Reliability and validity of the Thai translation (Thai PPS Adult Suandok) of the Palliative Performance Scale (PPSv2). Palliative Medicine. 2012 Dec;26(8):1034-41.doi:10.1177/0269216311424633. Epub 2011 Oct 12.
6. Sherry A. Greenberg, PhD.Palliative Performance Scale (PPSv2) version 2. Medical Care of the Dying, Victoria Hospice Society, 2006. 4thed.; p.121.
7. กิตติพล นาควิโรจน์. วิธีการประเมินอาการต่างๆ โดยใช้แบบประเมิน Edmonton Symptom Assessment System (ESAS)| ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว [อินเตอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 16 เมษายน 2561]. เข้าถึงได้จาก: https://med.mahidol.ac.th/fammed/th/postgrad/doctorpalliative2th
8. Chinda M, Jaturapatporn D, Kirshen AJ, Udomsubpayakul U. Reliability and validity of a Thai version of the edmonton symptom assessment scale (ESAS-Thai). Bruera E, MD version 1991.
9. รัตนา พันธ์พานิช. GOOD DEATH การตายที่ดีคืออย่างไร. วารสารแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2555;27(3):16.
10. Hanks GW, De Conno F, Cherny N, Hanna M, Kalso E, McQuay HJ, et al. Morphine and alternative opioids in cancer pain: The EAPC recommendations. British Journal of Cancer 2001;84:587-93. doi:10.1054/bjoc.2001.1680.
11. Kikule Ekiria. A good death in Uganda: survey of needs for palliative care for terminally ill people in urban areas. BMJ 2003;327(7408):192-4.
12. Heyland DK, Dodek P, Rocker G, Groll D, Gafni A, Pichora D, et al. What matters most in End of life care: perceptions of seriously ill patients and their family members. Canadian Medical Association Journal 2006;174:627-33.doi:10.1503/cmaj.050626
13. Julia N. The Future of Health and Care of Older People: The Best of Older People. Age Concern England 1996;p.41-44.
14. Klepstad P, Kaasa S, Cherny N, Hanks G, De Conno F. Pain and pain treatments in European palliative care units. A cross sectional survey from the European Association for Palliative Care Research Network. Palliative Medicine 2005;19:477-84. doi:10.1191/0269216305pm1054oa
15. นงค์รักษ์ สัจจานิจการ. ผลการดูแลผู้ป่วยที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจากโรงพยาบาลสู่เครือข่ายชุมชน. น่าน: โรงพยาบาลท่าวังผา จังหวัดน่าน; 2555.
16. Richard S. A good death-An important aim for health services and for us all. BMJ Clinical Research; 320(7228):129-130 • 2000 Jan 15. doi: 10.1136/bmj.320.7228.129
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง