การพัฒนาคลินิกโรคหืดในโรงพยาบาลวังน้อย
คำสำคัญ:
คลินิกโรคหืด, การเข้านอนโรงพยาบาล, การเข้านอนโรงพยาบาลซ้ำ, การมาตรวจซ้ำ, โรงพยาบาลวังน้อยบทคัดย่อ
โรคหืดเป็นโรคเรื้อรังที่มีความสำคัญกับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย โรงพยาบาลวังน้อยได้เล็งเห็นความสำคัญและได้จัดตั้งคลินิกโรคหืด (Easy asthma clinic) ขึ้น และจากการศึกษาเปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการจัดตั้งคลินิกโรคหืดในโรงพยาบาล พบว่าแพทย์มีการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดพ่นเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวทางของ GINA Guideline หลังการจัดตั้งคลินิกโรคหืดทำให้ผู้ป่วยมีอัตราการมารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินลดลง จาก 2.13 ครั้ง/คน/ปี เป็น 1.38 ครั้ง/คน/ปี อัตราการนอนรักษาในโรงพยาบาลลดลงจาก 0.33 ครั้ง/คน/ปี เป็น 0.22 ครั้ง/คน/ปีอัตราผู้ป่วยกลับมาตรวจซ้ำภายใน 48 ชั่วโมงลดลง จากร้อยละ 16.67 เป็นร้อยละ 4.93 และอัตราผู้ป่วยกลับมานอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลภายใน 28 วัน ได้ลดลงจากร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.35 ผลการศึกษายังพบว่าจากการคำนวณอย่างหยาบค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดมีแนวโน้มลดลง จะเห็นได้ว่าการจัดตั้งคลินิกโรคหืดในโรงพยาบาลผลลัพธ์การรักษาน่าจะคุ้มต่อการดำเนินการ
เอกสารอ้างอิง
2. วัชรา บุญสวัสดิ์. บรรณาธิการ. การพัฒนาระบบการดูแลโรคหืด เครือข่ายหน่วยบริการปฐมภูมิระดับอำเภอ (CUP) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล. พิมพ์ครั้งที่ 1. เพชรบูรณ์:สำนักงานโครงการสนับสนุน นโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล; 2554.
3. Global Initiative for Asthma. Global strategy forasthma management and prevention. Revised 2014, (cited 2014 Feb 20) Available from:URL:www.ginaasthma.org.
4. ธีระศักดิ์ แก้วอมตวงศ์. โรคหืดกำเริบเฉียบพลัน. ใน:ศศิโสภิน เกียรติบูรณกูล, บรรณาธิการ. ภาวะฉุกเฉินทางอายุรศาสตร์ เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร:ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย:2557. หน้า 136-147.
5. สืบศิริ บัณฑิตภิรมย์. ผลลัพธ์ของการจัดการคลินิกโรคหืดอย่างง่ายในโรงพยาบาลหนองแสง จังหวัดอุดรธานี. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี. 2554;19:1-9.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง