การประเมินการใช้ยาสูดพ่นที่มีส่วนประกอบของคอร์ติโคสเตียรอยด์ร่วมกับ ยาขยายหลอดลม (Fluticasone Propionate 250 mcg + Salmeterol 50 mcg) ในผู้ป่วยโรคหอบหืด และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลป่าซาง จังหวัดลำพูน
คำสำคัญ:
การประเมินการใช้ยา, ผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, ยาสูดพ่นที่มีส่วนประกอบของ คอร์ติโคสเตียรอยด์ร่วมกับยาขยายหลอดลม, ค่าใช้จ่ายด้านยา, สิทธิการรักษาชำระเงิน, สิทธิการรักษาประกันสุขภาพเหมาจ่ายบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง (Retrospective Study) เพื่อศึกษาความเหมาะสมในการใช้ยาด้านข้อบ่งใช้ของยา Fluticasone Propionate 250 mcg + Salmeterol 50 mcg (FCS) ประสิทธิผลของยาในการควบคุมอาการกำเริบในผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และค่าใช้จ่ายด้านยาที่มีผลต่อการบริหารการเงินของโรงพยาบาลป่าซาง กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่รับการรักษาในโรงพยาบาลป่าซาง จังหวัดลำพูน และได้รับยา FCS เป็นครั้งแรก จำนวน 57 คน โดยเก็บข้อมูลจากเวชระเบียนตั้งแต่ตุลาคม 2556 - กันยายน 2557 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสูตรคำนวณ ผลการวิจัย พบว่า มีการสั่งใช้ยา FCS ตามเกณฑ์ประเมินด้านข้อบ่งใช้ ของโรงพยาบาล ร้อยละ 77.2 หลังการใช้ยา ในผู้ป่วยโรคหอบหืดมีอาการหอบตอนกลางวันและอาการหอบตอนกลางคืนดีขึ้น การใช้ยาบรรเทาอาการหอบลดลง และค่าทดสอบสมรรถภาพปอดดีขึ้น ในผู้ป่วยปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีการเกิดอาการกำเริบเฉียบพลันลดลง และค่าเฉลี่ยคะแนนจาก COPD Assessment Test ลดลง ผู้ป่วยมารักษาที่ห้องฉุกเฉินและนอนรักษาในโรงพยาบาลจากอาการกำเริบลดลง ซึ่งส่งผลให้โรงพยาบาลลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเป็นมูลค่า 160,824.7 บาท มีการสั่งใช้ยา FCS ในผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นมูลค่า 160,949.4 บาท คิดเป็นร้อยละ 95.1 และค่าใช้จ่ายด้านยาที่มีผลกระทบลดลงต่อการบริหารการเงินของโรงพยาบาล มีมูลค่า 121,507.8 บาท โรงพยาบาลควรกำหนดนโยบายส่งเสริมให้มีการสั่งใช้ยาตามเกณฑ์การสั่งใช้และควรมีการประเมินการใช้ยาแบบ Concurrent DUE ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างทำการศึกษา
เอกสารอ้างอิง
2. เฉลิมศรี ภุมมางกูร, กฤตติกา ตัญญแสนสุข. บรรณาธิการ. โอสถกรรมศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:นิวไทยมิตรการพิมพ์ (1996);2547.
3. โรงพยาบาลป่าซาง, งานบริหารเวชภัณฑ์. รายงานสรุปผลการดำเนินงานบริหารเวชภัณฑ์โรงพยาบาลป่าซาง ประจำปีงบประมาณ 2555-2557. ลำพูน:โรงพยาบาลป่าซาง; 2557.
4. MIMS Online Thailand (Beta). Seretide. 2013. [Internet]. c2014 [cited 2014 Dec 14]. Available from : URL:https://www.mims-online.com
5. เกณฑ์การชดเชย Asthma COPD ของ สปสช. ปีงบประมาณ 2557. [Internet]. c2014 [วันที่ค้นข้อมูล 4 ธค. 2557]. แหล่งข้อมูล : URL:https://www.eac2easyasth.com/index.php
6. สุกัญญา นันท์ชัย, ศรัญญูธน เรืองสุวรรณ. การประเมินการใช้ยาสูด Salmeterol & Fluticasone Propionate ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรงพยาบาลท่าวังผา. [Internet]. c2014 [วันที่ค้นข้อมูล 4 ธค. 2557]. แหล่งข้อมูล : URL:https://www.tphospital.com/web_tphospital/index.php?option=com
7. กมลรัตน์ วิจารณ์ไพบูลย์, วุฒิพงษ์ โล้เจริญรัตน์. ประสิทธิผลของยาสูดพ่น Seretide ในผู้ป่วยโรคหืด. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุขประจำปี 2552 เรื่องบทคัดย่อผลงานวิชาการ 90 ปี การสาธารณสุขไทยเพื่อคนไทยสุขภาพดี; 20-23 มีนาคม 2552 ณ อิมแพ็คชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี กรุงเทพมหานคร:กระทรวงสาธารณสุข. 2552.
8. นิพนธ์ ฐิติญาณวิโรจน์, สุรศักดิ์ ไชยสงค์ และธนนรรจ์รัตน โชติพาณิช. ผลลัพธ์ของการใช้ Salmeterol/Fluticasone และ Budesonide ในผู้ป่วยโรคหืดที่ควบคุมอาการไม่ได้ในโรงพยาบาลชุมชน. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิจัยครั้งที่ 9: (131):206-216.
9. Peter M.A.Calverley, Julie A.Anderdon, Bartocome Celli, Gary T.Ferguson, Christine Jenkins, Paul W.Jones, Julie C.Yates.Salmeterol and Fluticasone Propionate and Survival in Chronic Obstructive Pulmonary Disease. N Engl J Med 2007;356:775-789.
10. Peter Calverley, Romain Pauwels, Jorgen Vestbo, Paul Jones, Neil Pride, Amund Gulsnik and Julie Anderson. Combined salmeterol and fluticasone in the treatment of chronic obstructive pulmonary Disease : a randomized controlled trial. The Lancet Vol.361 Feb 2003:449-459.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง