ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ของบุคลากรโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา
คำสำคัญ:
โปรแกรมสุขศึกษา, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพบุคลากรบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพบุคลากรโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่มีค่าดัชนีมวลกายระดับน้ำหนักเกิน รอบเอวเกินเกณฑ์มาตรฐาน จำนวน 38 คน ได้รับโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพซึ่งประยุกต์ใช้ทฤษฎีการตั้งเป้าหมายร่วมกับทฤษฎีความสามารถตนเอง จำนวน 4 ครั้ง ประกอบด้วย การเข้าถึงเข้าใจเรื่องการลดน้ำหนัก อาหารทางเลือกเพื่อสุขภาพ การสาธิตและฝึกออกกำลังกาย และทบทวนติดตามเป้าหมาย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย ความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ ค่าดัชนีมวลกายและรอบเอว ซึ่งหาความตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ความรู้ความเข้าใจหาค่าความเที่ยงด้วย KR20 ได้ค่า .688 และการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ, การสื่อสารสุขภาพ, การจัดการตนเอง, การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ, การตัดสินใจ เลือกปฏิบัติที่ถูกต้อง และพฤติกรรมสุขภาพหาค่าความเที่ยงด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค ได้ค่า .829, .881, .732, .740, .768 และ .739 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยด้วย Paired Sample t–test กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) หลังการทดลองค่าเฉลี่ยดัชนีมวลกายและรอบเอวน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001)
สรุปได้ว่า โปรแกรมสุขศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพบุคลากรโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ทำให้เกิดการปลี่ยนแปลงในด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพไปในทางที่ถูกต้องและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น ควรมีการส่งเสริมให้มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปสู่กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ต่อไป โดยประยุกต์ให้เหมาะสมกับบริบทนั้นๆ ด้วย
เอกสารอ้างอิง
2. ศูนย์เรียนรู้องค์กรต้นแบบไร้พุงต้นแบบ, สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.). คู่มือ ลดพุง ลดโรค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. 2558.
3. กองออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย. แผนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาโรคอ้วนคนไทย (คนไทยไร้พุง) กรมอนามัย พ.ศ. 2553-2556. นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข. 2553.
4. สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย. โครงการพัฒนาความแตกฉานด้านสุขภาพในกลุ่มผู้สูงอายุตำบลเมืองศรีไค อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี. นนทบุรี: สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย. 2558.
5. Bandura, A. Self-efficacy: The exercise of control. New York: W.H. Freeman. 1997.
6. กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คู่มือประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพคนไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป ในการปฏิบัติตามหลัก 3อ 2ส. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จำกัด. 2556.
7. Nutbeam, D. Health Literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into health 21st century. Health Promotion International 2000; 15(3):259-267.
8. Manganello JA. Health Literacy and adolescents: a framework and agenda for future research. Health Education Research 2008; 23(5):840-847.
9. พิภัทร์ชิตา ณ นคร. ผลของการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของพนักงานในโรงงานจังหวัดสระบุรี. สระบุรี: โรงพยาบาลพระพุทธบาท. 2560.
10. ยุธทวี ทองโอเอี่ยม. ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่องการกินอาหารและการออกกำลังกายของผู้เข้าร่วมโครงการ 3 Steps Healthy NHA 2015. เอกสารประกอบการประชุมวิชาการการคุ้มครองผู้บริโภคด้านระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3, 27-29 กรกฎาคม 2559; ณ โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค; 2559.
11. แสงเดือน กิ่งแก้ว และนุสรา ประเสริฐศรี. ความสัมพันธ์ระหว่างความฉลาดทางสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเรื้อรังหลายโรค. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข 2559;25(3): 43-54.
12. Bandura, A. Self-efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological Review 1997; 84(2):191-215.
13. สินีนาถ ทรัพย์ศิริ. โครงการรักษ์สุขภาพ (องค์กรไร้พุง) อำเภอบ้านหมี่. ลพบุรี: โรงพยาบาลบ้านหมี่. 2559.
14. รุสนี วาอายีตา และคณะ. ประสิทธิผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพต่อการรับรู้ความสามารถตนเอง การกำกับตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และการลดน้ำหนักของบุคลากรที่มีภาวะน้ำหนักเกิน โรงพยาบาลรามัน จังหวัดยะลา. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข 2557;24(2): 90-104.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง