รูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลแสวงหา อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
คำสำคัญ:
โรคความดันโลหิตสูง, รูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วม, พฤติกรรมบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) ชนิด 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมของกลุ่มทดลองก่อนและหลังเข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วม 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมหลังเข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วม 3) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมกลุ่มควบคุมก่อนและหลังได้รับการพยาบาล ดำเนินการวิจัยเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2558 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งมารับบริการที่คลินิกโรคเรื้อรัง โรงพยาบาลแสวงหา จังหวัดอ่างทอง 60 คน ใช้เทคนิคการเลือกตัวอย่างง่าย (Simple random sampling) โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มควบคุมคือกลุ่มที่ได้รับการดูแลรักษาแบบปกติ กลุ่มทดลองคือกลุ่มที่เข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหาร ด้านการออกกำลังกายและการพักผ่อน ด้านการคลายเครียด ด้านการรักษาโรคความดันโลหิตสูง เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม มีขั้นตอนดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมการ ขั้นตอนที่ 2 ขั้นดำเนินงาน ขั้นตอนที่ 3 ขั้นการติดตามและปรับปรุงแก้ไข วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Dependent t-test และ Independent t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1) ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมในภาพรวมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01)
2) ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมหลังเข้าร่วมรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมในภาพรวมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01)
3) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมกลุ่มควบคุมก่อนและหลังได้รับการพยาบาลปกติพบว่าไม่แตกต่างกัน
สรุปรูปแบบการจัดการอย่างมีส่วนร่วมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีประสิทธิผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการบริโภคอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการคลายความเครียด และด้านการรักษาโรคความดันโลหิตสูง จึงสมควรนำไปใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงต่อไป
เอกสารอ้างอิง
2. วิชัย เอกพลากร, บรรณาธิการ. รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552. นนทบุรี: เดอะกราฟิโกซิสเต็มส์; 2553.
3. สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: ศรีเมืองการพิมพ์. 2554.
4. สมจิต หนุเจริญกุล. การพยาบาลทางอายุรศาสตร์ เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 16. กรุงเทพมหานคร: วีเจ พรินท์ติ้ง; 2552.
5. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอ่างทอง. สรุปผลการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ปี 2558. อ่างทอง: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอ่างทอง; 2558 (เอกสารอัดสำเนา).
6. โรงพยาบาลแสวงหา. สรุปผลการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ปี 2558. อ่างทอง: โรงพยาบาลแสวงหา; 2558 (เอกสารอัดสำเนา).
7. ธีระพงษ์ แก้วหาวงษ์. กระบวนการเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งประชาสังคม. พิมพ์ครั้งที่ 2. ขอนแก่น: คลังนานาวิทยา; 2543.
8. จุฬาภรณ์ โสตะ. กลยุทธ์การพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ. ขอนแก่น : ภาควิชาสุขศึกษาคณะสาธารณสุขศาสตร์. มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2546.
9. อำไพ ชนะกอก, ราตรี โอภาส, บุญส่ง เกษมพิทักษ์พงษ์. ผลของการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูง. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2541.
10. สุวะรา ลิมป์สดใส. รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน. (วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัย. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2548.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง