สิ่งคุกคามในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
คำสำคัญ:
ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์, สิ่งคุกคามต่อสุขภาพ, การป้องกันสิ่งคุกคามบทคัดย่อ
การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาที่สำคัญ หน้าที่ของห้องปฏิบัติการคือเก็บรักษา ทดสอบ และวิเคราะห์สิ่งส่งตรวจโดยผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อนำมาสู่การวินิจฉัยโรคการติดตาม และการรักษา ที่ถูกต้องทางการแพทย์ ซึ่งห้องปฏิบัติการเป็นพื้นที่หนึ่งของโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพ เคมี และรังสี ซึ่งจะส่งผลต่อปัญหาสุขภาพของบุคลากรที่ทำงาน นอกจากนี้ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าพื้นที่อื่นเนื่องจากมีการเก็บสารเคมี วัตถุไวไฟและมีการใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและส่วนรวมได้ ดังนั้นบุคลากรที่ทำงานในห้องปฏิบัติการต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งคุกคามที่ส่งผลต่อสุขภาพ การป้องกัน รวมถึงระมัดระวังอุบัติเหตุที่สามารถเกิดขึ้นได้
เอกสารอ้างอิง
Available from:https://www.osha.gov/SLTC/laboratories/hazard_recognition.html.
2. สุดารัตน์ มโนเชี่ยวพินิจ. การประกันคุณภาพ : การบริหารความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการชันสูตรโรค: กรุงเทพฯ: ชมรมคุณภาพและมาตรฐานห้องปฏิบัติการชันสูตรโรค; 2544.
3. ธัญชนก ชุติวงศ์ธนะพัฒน์. การพัฒนาคู่มือการจัดการคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช; 2551.
4. สุภรณี โพธิสา, สรันยา เฮงพระพรหม, อานัน นิ่มนวล. ระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการสัมผัสเลือดและ/หรือสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยของบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ 2550;26:1-4.
5. Pattison CP, Maynard JE, Berquist DR. Epidermoligy of hepatitis B in hospital personnel. American Journal Epidemiology 1975;101:59-64.
6. Pike RM. Laboratory-associated infections: summary and analysis of 3921 cases. Health laboratory science 1976;13:105-14.
7. ศศิธร ปรียานนท์. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์กรุงเทพมหานคร [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์; 2548.
8. Standard PG., Kaufman L. Safety considerations in handling exoantigen extracts from pathogenic fungi. Journal of Clinical Microbiology 1982;15:663-7.
9. Henderson DK. HIV-1 in the health care setting. In: Mandel GL, Bennett JE, Dolan R, editors. Principles and practice of infectious diseases. 4th ed. London: Churchill Livingstone; 1995. p.2632-56.
10. Leers WD, Kouroupis GM. Prevalence of hepatitis B antibodies in hospital personnel. Can Med Assoc J 1975;113:844-7.
11. International Labour Organization. Laboratory worker. Gevena: ILO; 2000.
12. รัชนีกร ชมสวน, สุธิดา อุทะพันธุ์. การประเมินความเสี่ยงจากการทำงานของบุคลากรในโรงพยาบาล. กรุงเทพฯ: สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2550.
13. Occupational Safety Health Administraton. Laboratory safety guidance. Washington, DC: OSHA; 2011.
14. The International Agency for Research on Cancer. Formaldehyde [Internet]. 2006 [cited 2016 Nov 16]. Available from:https://monographs.iarc.fr/ENG/Monographs/vol100F/mono100F-29.pdf.
15. สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม. สิ่งคุกคามสุขภาพ (Health hazards). ใน: คู่มือการประเมินความเสี่ยงจากการทำงานของบุคลากรในโรงพยาบาล. นนทบุรี: โรงพิมพ์ชุมนุมการเกษตรและสหกรณ์แห่งประเทศไทย; 2554. หน้า 9-23.
16. Seidlitz PR. Excessive noise levels detrimental to patients. Hosp Prog 1981;62:54-6.
17. สุนันทา พลปัถพี, จรัส โชคสุวรรณกิจ. หูตึงจากการทำงาน. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี; 2554. หน้า 571-5.
18. กรมวิทยาศาสตร์บริการ. ความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการที่ใช้รังสี. ใน: คู่มือปฏิบัติด้านความปลอดภัยห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์บริการ. กรุงเทพฯ: กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี; 2558. หน้า 12-17.
19. วิวัฒน์ เอกบูรณะวัฒน์. รังสีที่พบในการทำงาน. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี; 2554. หน้า 632-5.
20. The International Agency for Research on Cancer. Ionizing radiation [Internet]. 2000 [cited 2016 Nov 16]. Available from:https://monographs.iarc.fr/ENG/Monographs/vol75/mono75.pdf.
21. Occupational Safety and Health Administration. Safety and health topics: ergonomicsidentify problems [Internet]. 2016 [cited 2016 Nov 20]. Available from: https://www.osha.gov/SLTC/ergonomics/identifyprobs.html.
22. วินัย พากเพียร, สุรศักดิ์ บูรณตรีเวทย์. โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่เกิดเนื่องจากการทำงาน. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี; 2554 หน้า 904.23. European Agency for Safety and Health. Work-related stress [Internet]. 2000 [cited 2016 Nov 16]. Available from: https://osha.europa.eu/en/tools-and-publications/publications/reports/203
24. Wilkins K. Work stress among health care providers. Health Reports 2007;18:33-6.
25. Yassi A, Miller B. Technological change and the medical technologist: a stress survey of four biomedical laboratories in large tertiary care hospital. Canadian Journal Medical Technology 1990;52:228-42.
26. อมตา อุตตมะ, วิโรจน์ เจียมจรัสรังษี. ความชุกของปัญหาสุขภาพในบุคลากรห้องปฏิบัติการทางแพทย์ ที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง. วารสารความปลอดภัยและสุขภาพ 2553;13:6-20.
27. ยรรยง อิ่มสุวรรณ. ความเครียดมีผลต่อสุขภาพอย่างไร [อินเทอร์เน็ต]. 2559 [เข้าถึงเมื่อ 20 พ.ย. 2559]. เข้าถึงได้จาก: https://www.med-afdc.net/wp-content/uploads/2016/11/ความเครียดมีผลต่อสุขภาพอย่างไร. pdf.
28. จรัส โชคสุวรรณกิจ. โรคติดเชื้อจากการทำงาน. กรุงเทพฯ: โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี; 2554. หน้า 384-5.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง