รูปแบบการพัฒนานโยบายสาธารณะ เพื่อมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่
คำสำคัญ:
การพัฒนา, นโยบายสาธารณะ, มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็น การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษา จำนวน 274 ราย เครื่องมือที่ใช้คือ รูปแบบการสร้างนโยบายสาธารณะมี 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1) สำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของนักศึกษา 2) การวางแผนสร้างนโยบายสาธารณะ 3) การประกาศนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ 4) การประเมินผล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการรับรู้นโยบายสาธารณะและความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการและนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ เปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนการรับรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการและนโยบายสาธารณะ ก่อนและหลังการพัฒนานโยบาย โดยใช้ paired sample t-test ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลจากการสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของนักศึกษา พบสูบบุหรี่ ร้อยละ 15.33 ผลการดำเนินรูปแบบการพัฒนานโยบายสาธารณะ เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ โดยวางแผนสร้างนโยบายสาธารณะ เริ่มจากแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่และแอลกอฮอล์ แต่งตั้งแกนนำเยาวชนอาสาสร้างสถานศึกษาปลอดบุหรี่ ร่างนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ และจัดเวทีประกาศนโยบายสาธารณะให้นักศึกษาและบุคลากรทุกรายได้รับทราบและปฏิบัติตาม จัดอบรมสร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายมาตรการและบทลงโทษ เพื่อควบคุมการสูบบุหรี่ภายในสถานศึกษาแก่นักศึกษาแกนนำในแต่ละคณะ และจัดสภาพแวดล้อมปลอดบุหรี่ โดยกำหนดเขตพื้นที่ปลอดบุหรี่ภายในมหาวิทยาลัย การประเมินผลการดำเนินงาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ และเห็นด้วยกับการพัฒนามาตรการและนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ หลังการพัฒนา เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.001)
ดังนั้น การพัฒนานโยบายสาธารณะ เพื่อเป็นมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ เป็นสิ่งที่สถาบันการศึกษาทุกแห่งควรให้ความสำคัญและดำเนินการเพื่อป้องกันนักสูบหน้าใหม่และกระตุ้นให้ผู้ที่สูบบุหรี่ เกิดความตระหนักในการ ลด ละ เลิกบุหรี่
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. ศรัณญา เบญจกุล. รายงานการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพ : แนวโน้มการบริโภคยาสูบของประชากรไทย. กรุงเทพฯ: สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2557.
3. จิรวรรณ มาท้วม. โครงการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากร พ.ศ.2560. กรุงเทพฯ: สำงานสถิติแห่งชาติ; 2560.
4. ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์. สรุปสถานการณ์การควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศไทย พ.ศ. 2554. ครั้งที่1. กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยา สูบ (ศจย.) วิทยาเขตราชวิถีมหาวิทยาลัยมหิดล; 2554.
5. จิรวุฒิ กุจะพันธ์, จุน หน่อแก้ว, จิรายุทธ์ เชื้อตานาม, นาฎนภา ปัดชาสุววรรณ์. ประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษา: คู่เสี่ยวบอกเลิก เพื่อลดการสูบบุหรี่ของนักศึกษามหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 2560;10(2):248-253.
6. Lameshow H. et al. Adequacy of Sample Size in Health Studies.New York, John Wiley & Sons. 1990.
7. นิยม จันทร์นวล, พลากร สืบสำราญ. สถานการณ์การสูบบุหรี่ของบุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี: ภายใต้โครงการมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีปลอดบุหรี่. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. 2559;18(2):1-10.
8. สุปราณี อันทธเสรี. การพัฒนามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นมหาวิทยาลัยปลอดบุหรี่ต้อนแบบ. วารสารการพยาบาล. 2552;58(3-4):1-14.
9. สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบ กระทรวงสาธารณสุข. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560. ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์; 2560.
10. นัยนา หนูนิล, สายฝน เอกวรางกูร, เรวดี หนูนิล. กระบวนการนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพการขับเคลื่อนจังหวัดตรังปลอดบุหรี่. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข. 2560;11(3):414-426.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
