ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมสมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
คำสำคัญ:
โรคหลอดเลือดสมอง, การรับรู้สมรรถนะแห่งตน, ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียวนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมการสร้างเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบสภาพร่างกายของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกี่ยวกับปอดอักเสบและแผลกดทับ โปรแกรมการสร้างเสริมสมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองนี้พัฒนาโดยใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ของแบนดูรา (Bandura) เกี่ยวกับแนวคิดการรับรู้สมรรถนะแห่งตน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองครั้งแรกที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 10 ราย การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 ดำเนินตามโปรแกรมการสร้างเสริมสมรรถนะแห่งตน จำนวน 4 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ชั่วโมง โดยการเยี่ยมบ้านติดต่อกัน 4 วัน ระยะที่ 2 เริ่มดำเนินการ 1 สัปดาห์ ภายหลังจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลด้วยการเยี่ยมบ้านในสัปดาห์ที่ 1 และใช้วิธีการโทรศัพท์มือถือที่เป็นการสื่อสารผ่านภาพและเสียง (video calling) ในสัปดาห์ที่ 2, 3 และ 4 หลังจากนั้น 28 วัน เยี่ยมบ้านเพื่อติดตามผลการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของผู้ดูแลและประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Wilcoxon signed rank test และใช้แบบประเมินสภาพร่างกายประเมินการเกิดปอดอักเสบและแผลกดทับ
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองมีคะแนนการรับรู้สมรรถนะแห่งตนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง ระยะติดตามผลสูงกว่าหลังการทดลองและก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01และการประเมินสภาพร่างกาย พบว่า ไม่พบอาการของปอดอักเสบและไม่มีแผลกดทับ การศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่าควรนำโปรแกรมไปใช้ในการวางแผนพัฒนาสมรรถนะการดูแลตนเองของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลต่อไป
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Nov 20]. Avaliable from: https://www.who.int/topics/cerebrovascular_accident/en
2. Armin J. Grau, Christian Urbanek and Frederick Palm. Common infections and the risk of stroke [Internet]. 2010 [cited 2017
Nov 20]. Available from: https://www.mitpressjournals.org/doi/abs/10.1162/rest_a_00004
3. Zhang LF, Yang J, Hong Z, Yuan GG, Zhou BF, Zhao LC, et al. Proportion of different subtypes of stroke in china Stroke 2003;34:2091-6.
4. ปิติกานต์ บูรณาภาพ. คู่มือดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต. กรุงเทพมหานคร: ยูโรปาเพรส; 2552.
5. นิชธิมา ศรีจำนงค์. ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเองของญาติผู้ดูแลผู้ป่วยโรค
หลอดเลือดสมองที่บ้าน. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีกรุงเทพ. 2553;26(1):28-43.
6. สวรินทร์ หงษ์สร้อย, วัลภา คุณทรงเกียรติ, เขมารดี มาสิงบุญ. ผลของโปรแกรมส่งเสริมความสามารถผู้ดูแลอย่างต่อเนื่องต่อความสามารถในการดูแลของผู้ดูแลความสามารถในการทำกิจกรรมและการเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือด. วารสารการพัฒนาชุมชนและคุณภาพชีวิต. 2556;1(1):77-89.
7. จิตลัดดา ประสานวงศ์,ปฐมวดี สิงห์ดง, รสสุคนธ์ สามแสน. การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลศรีสะเกษ วารสารกองการพยาบาล. 2555;39(2):51-6.
8. อุมา จันทวิเศษ, พรชัย สถิรปัญญา, ฉมาภรณ์ วรกุล, ยุพิณ วัฒนสิทธิ์, ฉวีวรรณ ยี่สกุล, สิรินทร์ ศาสตรานุรักษ์. ผลลัพธ์การใช้แผนการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สงขลานครินทร์เวชสาร. 2552;27(2):117-29.
9. นงนุช เพ็ชรร่วง, ปนัดดา ปริยทฤฆ, วิโรจน์ ทองเกลี้ยง. การศึกษาการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอย่างต่อเนื่องในศูนย์สุขภาพชุมชน. วารสารพยาบาลทหารบก. 2556;14(1):25-34.
10. อมรวรรณ กวีภัทรนนท์. ผลของการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนในการดูแลผู้ป่วยของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้าน. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2556;25(1) :93-105.
11. Bandura A. Social foundation of thoughts and action: A social cognitive theory. Englewood Clifts: NJ: Prentice-Hall; 1986.
12. Cohen, J. Statistical power analysis for the behavioral sciences. New Jersey: Hillsdale; 1988
13. นิภาพร ประจัญบาน. โปรแกรมการส่งเสริมความสามารถของผู้ป่วยและญาติในการดูแลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวต่อการกลับเข้ารักษาซ้ำในโรงพยาบาล [ วิทยานิพนธ์]. นครปฐม:มหาวิทยาลัยมหิดล; 2550.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะ
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว
