ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของพนักงาน การไฟฟ้านครหลวงสามเสน กรุงเทพมหานคร

บทคัดย่อ

โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน การวิจัยภาคตัดขวางนี้มุ่งประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและค้นหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานการไฟฟ้านครหลวงที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่รับบริการในโรงพยาบาลการไฟฟ้านครหลวง สามเสน กรุงเทพมหานคร จำนวน 260 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ที่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ Chi-square test

            ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับน้ำตาลในเลือดในเกณฑ์ควบคุมไม่ได้ (HbA1C>7) จำนวน 196 คน ร้อยละ 75.4 เป็นเบาหวานเฉลี่ย 8.0 ปี ดัชนีมวลกายเฉลี่ย 27.7 กก./ม.2 เส้นรอบเอวเกินเกณฑ์ปกติร้อยละ 44.6 ความดันโลหิต ≥ 140/90 มม.ปรอทร้อยละ 39.6 มีโรคร่วมร้อยละ 86.5 มีภาวะแทรกซ้อนร้อยละ 25.8 ใช้ยารักษาโรคเบาหวานร่วมกัน 3-4 กลุ่มร้อยละ 58.5 มีความเสี่ยงอันตรายในการทำงานร้อยละ 52.3 และมีความเครียดจากการทำงานร้อยละ 60.4 กลุ่มตัวอย่างจัดการตนเองภาพรวม อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางร้อยละ 62.7 และรับรู้ระบบบริการดูแลผู้ป่วยเบาหวานภาพรวมระดับสูงร้อยละ 93.8

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) ได้แก่ ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน การใช้ยารักษาโรคเบาหวาน และการจัดการตนเองด้านการตั้งเป้าหมาย ดังนั้น ควรส่งเสริมการตั้งเป้าหมายอย่างเจาะจงและชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่าทั้งปัจจัยทางคลินิกและพฤติกรรมสุขภาพมีบทบาทสำคัญต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในกลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจ