วารสารพยาบาลสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn <p>วารสารมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการศึกษาค้นคว้าและผลงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านการ พยาบาลสาธารณสุข การสาธารณสุข และการพยาบาล และเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และความคิดทางวิชาการ เสริมสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ที่อยู่ในกลุ่มวิชาชีพ</p> <p>ISSN: 3057-014x (Print)</p> <p>ISSN: 3057-0158 (Online)</p> สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล en-US วารสารพยาบาลสาธารณสุข 3057-014X <p>บทความที่ตีพิมพ์และแผนภูมิรูปภาพถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาธารณสุข (Thai Public Health Nurses Association)</p> ผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ต่อพฤติกรรม การป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพทางกายของบุคลากรโรงพยาบาลที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/view/277399 <p>ปัญหาสุขภาพที่เกิดจากสิ่งคุกคามด้านการยศาสตร์ เป็นปัญหาที่พบมากที่สุดในบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อต่อพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และสมรรถภาพทางกายของบุคลากรโรงพยาบาลที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล โดยใช้แนวคิดการยศาสตร์ร่วมกับการใช้ทฤษฎีระบบการพยาบาล ใช้วิธีวิจัยกึ่งทดลองแบบศึกษากลุ่มเดียว โดยวัดผลก่อน-หลังการทดลอง (One Group Pretest - Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรโรงพยาบาลที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการปฏิบัติงานในโรงพยาบาล จำนวน 106 คน คัดเลือกโดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ร่วมกับการได้รับคู่มือการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และการนิเทศทางการพยาบาลเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานที่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความรู้ด้านการยศาสตร์ พฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ อาการปวดกล้ามเนื้อ และแบบบันทึกผลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามในส่วนของความรู้ด้านการยศาสตร์ เท่ากับ 0.79 และในส่วนของพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลก่อน-หลังการทดลองโดยใช้สถิติ Paired t-test </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ด้านการยศาสตร์ ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อ และค่าเฉลี่ยผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = 26.59, p-value &lt; 0.001; t = 21.66, p-value &lt; 0.001; t = 11.70, p-value &lt; 0.001; t = 12.59, p-value &lt; 0.001) และค่าเฉลี่ยคะแนนความรุนแรงของอาการปวดกล้ามเนื้อ ลดลงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t = -20.43, p-value &lt; 0.001) จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการให้ความรู้ด้านการยศาสตร์ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อมีผลทำให้ความรู้ด้านการยศาสตร์และพฤติกรรมการป้องกันอาการปวดกล้ามเนื้อเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อทำให้อาการปวดกล้ามเนื้อดีขึ้น สมรรถภาพทางกายด้านความอ่อนตัวและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อดีขึ้น บุคลากรด้านสุขภาพหรือกลุ่มอาชีพอื่นที่มีลักษณะงานใกล้เคียงกันสามารถนำโปรแกรมฯ ไปประยุกต์ใช้ได้</p> ปราณี ผลมานะ วัชรวีร์ วชิรพันธ์ธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 39 2 1 21 ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสของผู้ติดเชื้อเอชไอวีจังหวัดสมุทรปราการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/view/281751 <p>การติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infections: OIs) ยังคงเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี (PLHIV) แม้การเข้าถึงยาต้านไวรัสจะครอบคลุมมากขึ้นทั่วโลก แต่ในปีพ.ศ. 2567 ยังมีผู้ติดเชื้อประมาณ 39.9 ล้านคน และเสียชีวิตจากโรคเอดส์มากกว่า 600,000 รายต่อปี โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา การติดเชื้อฉวยโอกาสยังคงเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นเช่นจังหวัดสมุทรปราการ งานวิจัยภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส และระบุปัจจัยที่ทำนายพฤติกรรมดังกล่าวในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส ณ โรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี PRECEDE–PROCEED Model เป็นกรอบแนวคิด กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 167 คนที่ได้รับการคัดเลือกด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นและผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Regression)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 47.3) มีอายุระหว่าง 35–60 ปี (ร้อยละ 52.7) และมีพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสในระดับมาก (Mean = 14.22, SD = 3.05) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์และสามารถทำนายพฤติกรรมป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาส ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) ได้แก่ อายุ ความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อฉวยโอกาส และแรงสนับสนุนทางสังคม ซึ่งร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมได้ร้อยละ 17.8 (Adjusted R² = 0.178, p &lt; 0.001) สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของทั้งปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางสังคมต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวางแผนกลยุทธ์การส่งเสริมสุขภาพที่มุ่งเน้นการให้ความรู้ที่ถูกต้องและเหมาะสมตามช่วงวัย เสริมสร้างแรงสนับสนุนทางสังคม และการจัดโปรแกรมการให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมป้องกันโรคที่ยั่งยืนในผู้ติดเชื้อเอชไอวี</p> วีระยา ร่ำเรียนกิจ ลลิตา แก้ววิไล ขวัญใจ อำนาจสัตย์ซื่อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 39 2 22 37 ผลของโปรแกรมประยุกต์ใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ ของพนักงานในสถานประกอบการ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/view/263721 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมประยุกต์ใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ของพนักงานในสถานประกอบการ กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานในสถานประกอบการที่สูบบุหรี่ในจังหวัดสมุทรสาครและสมุทรปราการ ใช้การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมเพื่อสร้างแรงจูงใจ ประกอบไปด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) การสร้างสัมพันธภาพและแรงจูงใจในการเลิกบุหรี่ 2) การ “สัมภาษณ์สร้างแรงจูงใจ ให้ถึงฝัน” ในการเลิกบุหรี่ 3) การสร้างความเชื่อมั่นและการค้นหาสิ่งที่ลังเลใจเกี่ยวกับการเลิกบุหรี่ และ 4) การส่งเสริมศักยภาพและติดตามพฤติกรรมการเลิกบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาการศึกษาทั้งสิ้น 7 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามและ PiCo + Smokerlyzer วัดระดับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจออก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Chi-Square สถิติ Fisher’s Exact Test สถิติ Repeated measure One-way ANOVA และสถิติ Independent t-test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม 7 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบต่อวันลดลง พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ดีกว่าก่อนทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.001) และระดับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจออกมีค่าคะแนนเฉลี่ยดีกว่าก่อนทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;.05) สรุปได้ว่าโปรแกรมประยุกต์ใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจมีผลต่อพฤติกรรมการเลิกบุหรี่ของพนักงานในสถานประกอบการที่ดีขึ้น และสามารถลดจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบต่อวันได้ </p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้ สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เลิกบุหรี่ และอธิบายผลการประเมินระดับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจที่เชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพ วางแผน ค้นหาสิ่งที่ลังเลใจ โดยให้เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองและสร้างแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่</p> ศิรินันท์ อินสำราญ เพลินพิศ บุณยมาลิก สุรินธร กลัมพากร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 39 2 38 53 ปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/view/265571 <p>การวิจัยเชิงพรรณาแบบตัดขวาง (A cross-sectional descriptive study) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและปัจจัยทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตของผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุเพศชายและหญิงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 370 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอนจาก 8 ชุมชนในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลโดยผู้วิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ที่พัฒนาโดยผู้วิจัยประกอบด้วย 6 ส่วน ค่า CVI ทั้งฉบับมากกว่า 0.8 และมีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น (Cronbach’s alpha) ระหว่าง 0.75-0.86</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 67.6 มีอายุระหว่าง 60-69 ปี คิดเป็นร้อยละ 54.6 มีสถานภาพสมรสคู่ (ร้อยละ 53.5) และมีการศึกษาระดับประถมศึกษามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 60.3 ส่วนใหญ่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 60.5 จากผลการวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product-moment correlation) พบว่าการสนับสนุนทางสังคม (r = 0.495) การเข้าถึงบริการสุขภาพ (r =0.397) และสัมพันธภาพในครอบครัว (r = 0.371) มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต แต่ภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์ทางลบกับความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต (r = -0.132) จากการวิเคราะห์ด้วยสถิติวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ พบว่าการเข้าถึงบริการสุขภาพและการสนับสนุนทางสังคม สามารถทำนายความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตของผู้สูงอายุได้ ร้อยละ 32.1 ( p-value &lt; 0.001 )</p> <p>ผลการวิจัยที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปพัฒนาระบบบริการเพื่อส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพจิตแก่ผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานคร โดยเน้นการสนับสนุนทางสังคม และการเข้าถึงบริการเพื่อให้ผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครมีความรอบรู้สุขภาพจิตที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นด้วย</p> ณัทวดี โกอิสทิเน้ณ เพลินพิศ บุณยมาลิก ขวัญใจ อำนาจสัตย์ซื่อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 39 2 54 67 การจัดการความรุนแรงในแผนกฉุกเฉิน โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/phn/article/view/274590 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการความรุนแรงในแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก</p> <p>การวิจัยประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การสัมภาษณ์เพื่อศึกษาสถานการณ์การจัดการความรุนแรงที่แผนกฉุกเฉินตามการรับรู้ของบุคลากรที่ปฏิบัติงานในแผนกฉุกเฉิน ระยะที่ 2 การประเมินการจัดการความรุนแรงในห้องฉุกเฉิน ของสถานพยาบาลในแผนกฉุกเฉิน ระยะที่3 การสัมภาษณ์เชิงลึกหัวหน้าพยาบาลเกี่ยวกับนโยบายแนวทางการจัดการความรุนแรงที่แผนกฉุกเฉิน ด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ (1) ข้อมูลทั่วไป (2) การจัดการความรุนแรงในแผนกฉุกเฉิน และ (3) แนวทางการจัดการความรุนแรง เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา พยาบาลได้รับการกระทำรุนแรงด้วยวาจาร้อยละ 100 โดยพบอุบัติการณ์ 1-2 ครั้ง/ปี ร้อยละ 75 และ 3-5 ครั้ง/ปี ร้อยละ 16.6 มากกว่า 6 ครั้ง/ปี ร้อยละ 8.4 ปัจจัยที่นำให้เกิดความรุนแรง ได้แก่ ไม่พึงพอใจที่ต้องรอรับบริการนาน ร้อยละ 30 ผู้ป่วยเมาสุรา ร้อยละ 27.14 ผู้ป่วยมีอาการป่วยจิตเวช ร้อยละ 21.43 และ การสื่อสารระหว่างพยาบาลกับญาติไม่เพียงพอ ร้อยละ 17.14 ตามลำดับ การจัดการเมื่อเกิดความรุนแรง คือ ปรับเกณฑ์การจำแนกระดับความรุนแรง แนวทางการปฏิบัติการพยาบาลตามระดับความรุนแรง กำหนดแนวทางการดูแลบุคลากรที่ได้รับความรุนแรง การป้องกันความรุนแรง คือ กำหนดแนวทางการปฏิบัติการพยาบาลโดยการให้ข้อมูลแก่ญาติทุก 30 นาที และในกรณีที่พบว่าผู้รับบริการเมาสุรา หรือ ป่วยจิตเวช กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ข้างเตียงขณะทำหัตถการ และการจัดอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับในเรื่องการเจรจาต่อรอง การป้องกันตัว การควบคุมความรุนแรง และการซ้อมแผนเสมือนจริง</p> จริยา กิตติดิลก สมใจ พุทธาพิทักษ์ผล ยศพล เหลืองโสมนภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมาคมพยาบาลสาธารณสุขไทยฯ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-31 2025-08-31 39 2 68 77