การพัฒนารูปแบบการพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จังหวัดสมุทรสงคราม

บทคัดย่อ

              การติดเชื้อในกระแสเลือด ถือเป็นภาวะคุกคามชีวิตในทารกแรกเกิด การดูแลจึงต้องการรูปแบบที่เหมาะสมและแนวปฏิบัติการพยาบาลที่ชัดเจน การวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้รูปแบบการพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า โดยใช้กรอบแนวคิดของโดนาบีเดียนและการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลตามหลักฐานเชิงประจักษ์ของไอโอวาโมเดล กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 71 คน ทารกเกิดมีชีพ จำนวน 86 คน และทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด จำนวน 11 คน การศึกษาแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษาปัญหาและสถานการณ์ 2) พัฒนารูปแบบการพยาบาล 3) นำรูปแบบการพยาบาลที่พัฒนาขึ้นไปใช้ 4) ประเมินผลการนำรูปแบบไปใช้ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ รูปแบบการพยาบาลทารกแรกเกิดที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด แบบทบทวนเวชระเบียน แบบสอบถามสถานการณ์ แบบทดสอบความรู้ของพยาบาลวิชาชีพ แบบประเมินการปฏิบัติ แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการพยาบาล แบบเก็บข้อมูลและแบบรายงานผลลัพธ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติเชิงพรรณนา และ Paired t-test 

             ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพยาบาลประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) ด้านโครงสร้าง ได้แก่ กำหนดนโยบายและเป้าหมาย การพัฒนาความรู้พยาบาลวิชาชีพ การบริหารจัดการเครื่องมือและอุปกรณ์ 2) ด้านกระบวนการ ได้แก่ การคัดกรองและระบุตัวทารกแรกเกิดกลุ่มเสี่ยงและที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด การค้นหาเชื้อ แหล่งติดเชื้อและควบคุมเชื้อ การเฝ้าระวังการติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรงขึ้น การฟื้นฟูระบบไหลเวียนโลหิต การประคับประคอง การทำงานของอวัยวะต่างๆ การเฝ้าระวังและติดตามอาการ การดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ การติดตามการปฏิบัติ 3) ด้านผลลัพธ์ของผู้ป่วยและบุคลากร  โดยหลังจากใช้รูปแบบการพยาบาล พบว่า อัตราการเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดชนิดรุนแรงและภาวะช็อกเท่ากับ 9.09 อัตราการเสียชีวิตเท่ากับ 0 พยาบาลวิชาชีพมีระดับความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.05) อยู่ในระดับดี การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติอยู่ในระดับดี และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้รูปแบบการพยาบาลอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งรูปแบบที่พัฒนาขึ้นนั้นมีความสอดคล้องกับบริบทของหน่วยงาน ทำให้พยาบาลมีความรู้เพิ่มขึ้น และสามารถนำลงสู่การนำปฏิบัติได้ ส่งผลให้ไม่พบการเสียชีวิตในทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อในกระแสเลือด ดังนั้นจึงควรนำรูปแบบการพยาบาลนี้ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลต่อไป