ผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน งานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลจักราช อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา
คำสำคัญ:
แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน, การคัดแยก, งานผู้ป่วยนอกบทคัดย่อ
การคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความรุนแรงที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน อาจส่งผลต่อชีวิตผู้ป่วยจากการรักษาล่าช้า การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเมินผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน และความพึงพอใจของพยาบาลต่อการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างคือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานผู้ป่วยนอก จำนวน 6 คน โดยเลือกแบบเจาะจง และผู้รับบริการที่เข้ารับบริการงานผู้ป่วยนอก จำนวน 180 คน เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 ถึงเดือนมิถุนายน 2563 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน โดยใช้ “MOPH” ED. Triage Guideline ของกระทรวงสาธารณสุข นำมาปรับให้เข้ากับบริบทของงานผู้ป่วยนอก แบบประเมินการปฏิบัติตามแนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน และแบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.86 และตรวจสอบค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.82 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และ chi-square test
ผลการวิจัยพบว่า พยาบาลวิชาชีพมีการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน ร้อยละ 100 ด้านประสิทธิผลการจัดลำดับความฉุกเฉินถูกต้อง ร้อยละ 98.9 เมื่อทดสอบความสัมพันธ์ พบว่า พยาบาลคัดแยกรายบุคคลกับความถูกต้องในการคัดแยกผู้ป่วย ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างพยาบาลที่ใช้แนวปฏิบัติเดียวกัน (c2=4.045, df=5, p=0.543) และความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพต่อการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉิน มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับสูง ( =4.46, S.D.=0.467)
สรุปผลการวิจัยได้ว่า แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินมีมาตรฐาน หน่วยงานสามารถนำไปใช้ในการประเมินคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถให้การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตได้ทันท่วงที
เอกสารอ้างอิง
Haruthai C, Leelawong S, Khansatapornkun K, editors. National Nursing Service Strategy 2017 - 2021 according to the 20-Year National Strategic Plan (Public Health). Nonthaburi: Nursing Division Ministry of Public Health 2018.
Jirasinthipok T, Jermwiwatnakul P, Nittayangkun S, Wongsuansiri S, Wongcharoen S, editors. Standards of Nursing Care. 2nd ed. Nonthaburi: Wvo Officer Of Printing Mill 2008.
Christ M, Goransson F, Winter D, Bingisser R, Platz E. Modern Triage in the Emergency Department. Medicine 2010; 107(50): 892-8.
Yurkova I, Wolf L. Under-triage as a significant factor affecting transfer time between the emergency department and the intensive unit. Journal of Emergency Nursing 2011; 37(5): 491-6.
Hoot N, Aronsky D. Systematic review of emergency department Crowding: Cause, effects, and solutions. Annuals of Emergency Medicine 2008; 53(2): 126-36.
Manangan M. Service Profile Outpatient department Chakkarat Hospital 2018. Nakhon Ratchasima: Chakkarat Hospital; 2018.
Setthasathien A. Guidelines for Emergency Medical Triage Protocol and Criteria Based Dispatch and Emergency Severity Index by the National Institute for Emergency Medicine. 3rd ed. Nonthaburi: National Institute for Emergency Medicine; 2015.
Cochran, W.G. Sampling technique. New York: John Wiley & Son. Inc; 1953.
Department of Medical Services. Services Ministry Of Public Health; 2018.
Sukswang S. Triage Nurse: Beyond Main Process Through Practice. Journal of Health Sciences Scholarship 2018; 5(2): 1-14. (in Thai)
Larthum K, Pearkao C. A Study of Quality of Emergency Patient Triage at Srinagarind Hospital. Khon Kaen: The National and International Graduate Research Conference; 2017.
Pimsung S. The Effect Of A Clinical Practice Guideline On Abdominal Pain Triage InOutpatients. Community Nurse Practitioner Faculty of Nursing Thammasat University; 2017.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ตีพิมพ์และแผนภูมิรูปภาพถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลสาธารณสุข (Thai Public Health Nurses Association)
