ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้กับพฤติกรรมการป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี
คำสำคัญ:
พฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม, แบบแผนความเชื่อสุขภาพ, บุคลากรสายสนับสนุนบทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบบรรยาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 200 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยสูตรของ Krejcie & Morgan ใช้วิธีการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากแต่ละหน่วยงาน โดยการเทียบสัดส่วนและสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัยที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ตอบด้วยตนเองจำนวน 6 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ตอนที่ 2 แบบสอบถามการรับรู้ความเสี่ยงของการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ตอนที่ 3 แบบสอบถามการรับรู้ความรุนแรงของกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ตอนที่ 4 แบบสอบถามการรับรู้ประโยชน์ในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ตอนที่ 5 แบบสอบถามการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ตอนที่ 6 แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม โดยแบบสอบถามตอนที่ 2–6 ได้นำมาหาค่าความเชื่อมั่นด้วยสูตร Cronbach’s alpha พบค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .86, .81, .90, .70 และ .77 ตามลำดับ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมอยู่ในระดับปานกลาง และการรับรู้ความเสี่ยงของการเกิดกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำกับพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม (r = 0.23, p < .01) การรับรู้ความรุนแรงของกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำมากกับพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม (r = 0.18, p < .05) การรับรู้ประโยชน์ในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำกับพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม (r = 0.21, p < .05) และการรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ผลการวิจัยสะท้อนว่าพยาบาลหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ โดยใช้แบบแผนความเชื่อสุขภาพเป็นแนวคิดในการจัดกิจกรรม เพื่อป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
เอกสารอ้างอิง
คม ยิบประดิษฐ์ และภัทรสุดา สินสวัสดิ์. (2567). ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชนในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางตะบูน อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี. วารสารวิชาการเพื่อการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิและสาธารณสุข. 2(1), 1-14
จุฬาลักษณ์ ฐิตินันทิวัฒน์ และนเรศน์ ฐิตินันทิวัฒน์. (2567). ปัจจัยคัดสรรตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อกับพฤติกรรมการใช้หมวกนิรภัยในการป้องกันอุบัติเหตุของนักเรียนในสังกัดโรงเรียนของเทศบาลเมือง เขตสุขภาพที่ 3. วารสารวิชาการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, 20(1), 1-12.
ชุติมา สร้อยนาค, จริยาวัตร คมพยัคฆ์ และพรศิริ พันธสี. (2561). การศึกษาแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของมุสลิมวัยทำงาน. วารสารพยาบาลทหารบก, 19(ฉบับพิเศษ), 267-277.
ณัฐกร โต๊ะสิงห์, โชติรส นพพลกรัง และทิพย์สุดา กุมผัน. (2563). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสวมหมวกนิรภัย และแนวทางการส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ในพื้นที่เทศบาลเมืองศรีสะเกษ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัด ศรีสะเกษ. ศรีษะเกษ: มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีษะเกษ.
ทรงฤทธิ์ ทองมีขวัญ และสกุนตลา แซ่เตียว. (2561). พฤติกรรมการป้องกันและการรับรู้ความเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการคอมพิวเตอร์ซินโดรมของบุคลากรสายสนับสนุน. วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม, 19(37), 69-83.
ปาจรา โพธิหัง, นนทกร ดำนงค์ และอโนชา ทัศนาธนชัย. (2564). ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับกลุ่มอาการออฟฟิตซินโดรมกับพฤติกรรมการป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิตซินโดรมของบุคลากรสายสนับสนุน ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย, 14(2), 235-250.
พัชนิดา ศิลานนท์. (2561). การบริหารความปลอดภัยในการทำงานและการรับรู้ตามแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต)
พิทยารัตน์ จิกยอง, นภชา สิงห์วีรธรรม และสินีนาฏ ชาวตระการ. (2567). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30-60 ปี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่. วารสารพยาบาลและการศึกษา, 17(2), 67-77.
สมโรจน์ จิริวิภากร. (2564). การป้องกันและรักษากลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมของกำลังพลกองทัพอากาศแบบองค์รวม. แพทยสารทหารอากาศ, 68(1), 40-48.
สาริษฐา สมทรัพย์, จุฑารัตน์ ปฏิเวทย์, โกวิท เป็งวงศ์, จีรภา น้อยสีเหลือง และขวัญใจ แว่นใหญ่. (2562). แนวทางส่งเสริมและอนามัยสิ่งแวดล้อมในสถานประกอบการ PACKAGE 6 พิชิตออฟฟิศซินโดรม. บริษัท เอ็มดี ออล กราฟิก.
สิวิตรา คนแรง, เอมอัชฌา วัฒนบุรานนท์, ยุวดี รอดจากภัย, เสาวนีย์ ทองนพคุณ และดนัย บวรเกียรติกุล. (2566). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมป้องกันการเกิดโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือของพนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จังหวัดชลบุรี. วารสารธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา, 17(2), 67-83.
Becker, M. H. (1974). The health belief model and sick role behavior. In M. H. Becker (Ed.), The health belief model and personal health behavior (pp. 82-92). Charles B. Slack.
Best, J. W. (1977). Research in education (3rd ed.). Prentice Hall.
Rosenstock, M. I., Strecher, J. V., & Becker, H. M. (1988). Social learning theory and the health belief model. Health Education & Behavior, 15(2), 175-183. doi:10.1177/109019818801500203.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง
บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามทุกครั้ง