ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ เพื่อเพิ่มพลังสุขภาพจิตและลดความคิดฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย
คำสำคัญ:
โปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ, พลังสุขภาพจิต, ความคิดฆ่าตัวตาย, ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจต่อพลังสุขภาพจิตและลดความคิดฆ่าตัวตายของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ได้รับการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง 66 คน สุ่มเข้ากลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมฯ ที่ผู้วิจัยกำหนดขึ้น และกลุ่มควบคุมซึ่งได้รับการดูแลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินพลังสุขภาพจิต (RQ) แบบประเมินการฆ่าตัวตาย (8Q) ของกรมสุขภาพจิต และโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และ t-test
ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมฯ มีค่าเฉลี่ยพลังสุขภาพจิตก่อนและหลังการทดลองเท่ากับ 14.07 (SD = 9.96) และ 25.73 (SD = 6.57) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยพลังสุขภาพจิตก่อนและหลังการทดลองเท่ากับ 17.40 (SD = 8.92) และ 18.60 (SD = 8.72) ไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่าเฉลี่ยความคิดฆ่าตัวตายก่อนการทดลองและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองเท่ากับ 22.06 (SD = 7.51) และ 15.13 (SD=9.72) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความคิดฆ่าตัวตายก่อนการทดลองและหลังการทดลองของกลุ่มควบคุมเท่ากับ 18.87 (SD = 8.54) และ 18.53 (SD = 8.89) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปฝึกอบรมแก่บุคลากรทีมสุขภาพเพื่อเพิ่มทักษะการดูแลและสร้างแนวปฏิบัติในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลผู้ป่วยโรคซึมเศร้า และนำไปสู่ข้อเสนอแนะให้ผู้บริหารระดับสูง เช่น สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และเขตสุขภาพ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายการดูแลผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด, โรงพยาบาลคีรีมาศ. (2567). รายงานการเข้าถึงบริการผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและสถานการณ์การฆ่าตัวตาย จังหวัดสุโขทัย.
กรรณิการ์ ผ่องโต. (2557). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจต่อความคิดฆ่าตัวตายในผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
ธัญชนก จิงา และศรีแพร เข็มวิชัย. (2563). ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางใจต่อการเห็นคุณค่าในตนเองและความคิดฆ่าตัวตายในผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย. วารสารสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา, 14(1): 85–95.
ธวัชชัย พละศักดิ์, รังสิมันต์ สุนทรไชยา และรัชนีกร อุปเสน. (2560). ผลของโปรแกรมการบำบัด โดยการแก้ปัญหาต่อภาวะซึมเศร้าในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, 31(1), 60–74.
นันทิรา หงส์ศรีสุวรรณ์. (2559). ภาวะซึมเศร้า. วารสาร มฉก.วิชาการ วิทยาศาสตร์สุขภาพ. 19(38), 105–118.
พัชราวไล ควรเนตร, เพ็ญนภา แดงด้อมยุทธ และรัชนีกร อุปเสน. (2561). ผลของโปรแกรมการสร้างความเข้มแข็งทางใจ ต่อความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต. 32(2), 39–51.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย. (2567). รายงานการเข้าถึงบริการผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและสถานการณ์การฆ่าตัวตายจังหวัดสุโขทัย ปีพ.ศ. 2566.
โสภิณ แสงอ่อน, พัชรินทร์ นินทจันทร์ และทัศนา ทวีคูณ. (2558). ภาวะซึมเศร้าและความแข็งแกร่งในชีวิตของประชาชนในชุมชนแห่งหนึ่ง. (รายงานการวิจัย) โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
สิริพร เสือรอด. (2558). ความสามารถในการฟื้นพลังกับการพึ่งพาตนเองทางด้านเศรษฐกิจของคนพิการทางกาย: กรณีศึกษาทหารผ่านศึกนอกประจำการที่พิการทางกาย เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
อรุณี สุวรรณโชติ. (2564). การศึกษาต้นทุนทางจิตวิทยาเชิงบวกเพื่อลดภาวะซึมเศร้าของกลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัย. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี, 16(1), 26–38.
อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย, รังสิมันต์ สุนทรไชยา และพีรพันธ์ ลือบุญธวัชชัย. (2565). การบำบัดรักษาทางจิตสังคมสำหรับโรคซึมเศร้า. พิมพ์ครั้งที่ 2. ธนาเพลส.
American Psychological Association. (2014). Resilience guide for parents and teachers. http://www.apa.org/helpcenter/resilience.aspx
Beck A. T. (1967). Depression: Clinical, experimental and theoretical aspects. Hoeber.
Bozikas, V. P., & Parlapani, E. (2016). Resilience in patients with psychotic disorders. Psychiatriki 27(1), 13–22.
Di Marco, S., Feggi, A., Cammarata, E., Girardi, L., Bert, F., Scaioli, G., Zeppegno, P. (2017). Schizophrenia and major depression: Resilience, coping styles, personality traits, self-esteem and quality of life. European Psychiatry, 41, 192–193. https://doi.org/10.1016/j.eurpsy.2017.01.231
Grotberg, E. H. (1995). A guide to promoting resilience in children: Strengthening the human spirit. https://files.eric.ed.gov/fulltext/ED386327.pdf
Grotberg, E. H. (1999). Countering depression with the five building blocks of resilience. Reaching Today’s Youth, 4(1), 66–72.
Huisman, M., Klokgieters, S. S., & Beekman, A. T. F. (2017). Successful ageing, depression and resilience research: A call for a priori approaches to investigations of resilience. Epidemiology and Psychiatric Sciences, 26(6), 574–578. https://doi.org/10.1017/S2045796016000837
Lalitanantapong D. (2018). Emergency Psychiatry. Chulalongkorn University Printing House.
Nila, K., Holt, D. V., Ditzen, B., & Raab, C. A. (2016). Mindfulness-based stress reduction enhances distress tolerance and resilience through changes in mindfulness. Mental Health & Prevention, 4, 36–41. https://doi.org/10.1016/j.mhp.2016.09.001
Shiel, W. C., & Williams, C. (2018). Medical definition of depression. https://www.medicinenet.com/script/main/art.asp?articlekey=2947
World Health Organization. (2017). Depression and other common mental disorders: Global health estimates. https://apps.who.int/iris/handle/10665/254610
World Health Organization. (2019). Depression. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/depression
World Health Organization. (2023). Depressive disorder (depression). https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/depression
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง
บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามทุกครั้ง