ปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูง

ผู้แต่ง

  • Patcharee Rasamejam, Lecturer คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • Prisana Akaratanapol, Lecturer คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • Porntip Limteerayos, Lecturer คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • Kamontip Khungtumneam, Asst.Prof. คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

คำสำคัญ:

พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ, ความดันโลหิตสูง, ชาวไทยมุสลิม

บทคัดย่อ

บทคัดย่อ

           การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยความดันโลหิตสูงชาวไทยมุสลิมจำนวน 80 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถามตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิและหาค่าความเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาทั้งฉบับได้ 0.85  วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 75.2) อายุเฉลี่ย 60.57 ปี มีประวัติคนในครอบครัวเจ็บป่วยด้วยโรคทางพันธุกรรมร้อยละ 96.7 ค่าดัชนีมวลกายอยู่ในระดับอ้วน  ร้อยละ 37.2 มีพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพโดยรวมในระดับดี (mean=3.44, S.D.=0.47 ) ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ประกอบด้วยอิทธิพลระหว่างบุคคล (beta = 0.43) รองลงมา  คืออายุ (beta = 0.061) ดัชนีมวลกาย (beta = -0.045) การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (beta = -1.611) และการรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ (beta = 0.014) ปัจจัยทั้งหมดสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ได้ร้อยละ 23 (R2 = 0.23)  ข้อเสนอแนะ ควรนำปัจจัยด้านอิทธิพลระหว่างบุคคลมาเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูงให้สอดคล้องกับหลักคำสอนของศาสนา

เอกสารอ้างอิง

เอกสารอ้างอิง
กัลยารัตน์ แก้ววันดี วราภรณ์ ศิริสว่าง และ จิติมา กตัญญู. (2558). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชนกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองยวง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน. รายงานสืบเนื่องจากการประชุมสัมมนาวิชาการนำเสนองานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ เครือข่ายบัฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎภาคเหนือ ครั้งที่ 15 วันที่ 23 กรกฎาคมา 2558 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์.
ขวัญฤทัย พันธุและจันทร์ฉาย มณีวงค์ (2559) ปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ในภาคกลาง The journal Baromorajonani college of nursing nokhonratchasimo. 22 (1). 93-105
คณะทำงานวิชาการและวิจัยสมาคมจันทร์เสี้ยวการแพทย์และการสาธารณสุข.(2552). โรคเรื้อรัง (โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง) โครงการสร้างเสริมสุขภาพตามวิถีมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สถาบันวิจัยระบสุขภาพภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปี 2551. สถาบันวิจัยระบสุขภาพภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
ซูไมยะ เด็งสาแมและคณะ. (2558). พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพด้านโภชนาการของผู้นำศาสนาอิสลาม จังหวัยะลา วารสารสาธารณสุขศาสตร์ 45(1). 18-27.
ทิพย์วดี พันธภาค. (2552). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุมุสลิมโรคความดันโลหิตสูง. วิทยานิพนธ์หลักสูตรพย.ม. (การพยาบาลผู้ใหญ่). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
นิพพาภัทร์ สินทรัพย์, จิณวัตร จันครา และบุปผา ใจมั่น. (2560). โรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ: เพชฌฆาตเงียบที่ควรตระหนัก.วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี. 28 (1). 100 -111.
บุญชม ศรีสะอาด. (2556). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่ม 1. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงทพฯ: สุวีริยาสาส์น.
ประภาส ขำมาก สมรัตน์ ขำมาก และมาลิน แก้วมณี. (2558). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง. วารสารเครือข่ายวิทาลัยและการสาธารณสุขภาคใต้. 2 (3). 74-91
ปริมประภา ก้อนแก้ว จรรจา สันตยากร ปกรณ์ ประจันบานและวิโรจน์ วรรณภิระ. (2554). ปัจจัยนำนายพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของข้าราชการที่มีภาะไขมันในเลือดผิดปกติ. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ 5(3). 17-28.
ปวิตรา จริยสกุลวงค์ และคณะ. (2558). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคความ ดันโลหิตสูงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์. 7(3). 26-36.
มาดีฮะห์ มะเก็ง ปิยะนุช จิตตนูนท์และอาภรณ์ทิพย์ บัวเพ็ชร์. (2558) ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพตามวิถีมุสลิมต่อพฤติกรรมการควบคุมโรคเบาหวานและระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานมุสลิมที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้และมีโรคร่วม. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์. 38 (1) 46-62
รัชรา ลิลละฮ์กุล และ ปัทมา สุพรรณกุล. (2561). วิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิมจังหวัดชายแดนภาคใต้กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพตามหลัก 6 อ. วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้. 5 (2). 302-312.
วิชัย เอกพลากร. (2559). รายงานการสำรวจสถานะสุขภาพประชากรไทย ครั้งที่ 4 พ.ศ.2551-2. กรุงเทพฯ: เดอะ กราฟิโก้ ซีสเต็ม จำกัด.
วิไลวรรณ ทองเจริญ. (2554). ศาสตร์และศิลป์ การพยาบาลผู้สูงอายุ. กรุงเทพฯ: โครงการตำราคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
ศศิกาญจน์ สกุลปัญญวัฒน์ .(2557). พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุชาวมุสลิม กรณีศึกษา อ.องครักษ์ ตำบลองครักษ์ จ.นครนายก. วารสารพยาบาลทหารบก 15 (3). 353-360.
ศุภวรรณ มโนสุนทร และคณะ (2555) สถานการณ์พฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อกลุ่มประชากรไทยมุสลิม ภายใต้การสำรวจ พฤติกรรมเสี่ยงโรคไม่ติดต่อ. จาก https://www.muslim4health.or.th
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2551). สรุปผลที่สำคัญ การสำรวจอนามัย สวัสดิการ และการออกกำลังกายของประชากรพ.ศ. 2550. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. (2556). จำนวนและอัตราผู้ป่วยในด้วยโรคความ ดันโลหิตสูง. จาก http://thaincd.com/information-statistic/non-communicabledisease-data.php.
โสภิต ทิพย์รัตน์. (2551). ปัจจัยคัดสรรที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุมุสลิมที่เป็นสมาชิกชมรมผู้สูงอายุภาคใต้ตอนบน. วิทยานิพนธ์หลักสูตรพย.ม. (วิชาการพยาบาลศาตร์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อานนท์ สีดาเพ็ง และ นิคม มูลเมือง. (2556). พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของนักศึกษามหาวิทยาลัย. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้. 1 (1) 59-86.
Pender NJ, Murdaugh CL, Parsons MA. (2011). Health promotion in nursing practice. 6th ed. Boston: Pearson; 2011
World Health Organization. (2010). WHL Newsletter No 127, March 2010 Retrieved from http://woldhypertensionleague.org/documents.pdf (6 October 2018)

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2019-02-01

รูปแบบการอ้างอิง

Rasamejam, P., Akaratanapol, P., Limteerayos, P., & Khungtumneam, K. (2019). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพของชาวไทยมุสลิมที่มีภาวะความดันโลหิตสูง. วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม, 19(37), 56–68. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/nursingsiamjournal/article/view/153115