รูปแบบการประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะด้านความรอบรู้สุขภาพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน ด้วยแนวคิด อสม 4.0 และ Smart อสม. พื้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
คำสำคัญ:
ความรอบรู้สุขภาพ, อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน, อสม 4.0 และ Smart อสม.บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษา (1) ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (2) พฤติกรรมสุขภาพ (3) การปฏิบัติงานตามแนวคิด อสม.4.0 และ Smart อสม. และ (4) ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
รูปแบบการวิจัย: การศึกษาวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed methods research design)
วัสดุและวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. ที่ปฏิบัติงานในอำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ และขึ้นทะเบียนตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 229 คน ดำเนินการศึกษาหว่างวันที่ 1 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2568 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) ได้เท่ากับ 0.95 แบบสัมภาษณ์ และแนวคำถามสำหรับการประชุมกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา
ผลการวิจัย: ผลการวิจัยพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. อยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 70.77) พฤติกรรมสุขภาพด้านปัจจัยนำอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 64.11) ปัจจัยเอื้อ (Mean =3.50, SD.=1.02) และปัจจัยเสริม (Mean =3.62, SD.=1.01) อยู่ในระดับมากเช่นกัน การปฏิบัติงานตามแนวคิด อสม.4.0 และ Smart อสม. อยู่ในระดับมาก (Mean =3.59, SD.=0.89) โดยพบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับต่ำกับการปฏิบัติงาน (r=0.282, p<.01) นำไปสู่การสร้างรูปแบบ “การประเมินประสิทธิภาพสมรรถนะด้านความรอบรู้สุขภาพของ อสม. เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานด้วยแนวคิด อสม 4.0 และ Smart อสม.” พื้นที่อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่
สรุปและข้อเสนอแนะ: ผลการศึกษาที่ได้นำไปใช้ในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมความรอบรู้สุขภาพให้กับ อสม. และออกแบบโปรแกรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากร และ อสม. ที่ดำเนินงานความรอบรู้สุขภาพในพื้นที่ได้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพในพื้นที่อย่างยั่งยืน ในชื่อว่า “อสม. กัลยาณิวัฒนา เสริมพลัง พัฒนาความรอบรู้ เพื่อสุขภาพประชาชน”
เอกสารอ้างอิง
Varumporn T, Sillabutra J, Prutipinyo C. Factors influencing the competency of personnel in the Department of Health Service Support, Ministry of Public Health. Public Health Policy Laws J. 2025;11(2):345–58.
Department of Health Service Support. Outstanding achievements of the Department of Health Service Support, fiscal year 2021 [Internet]. 2021 [cited 2024 May 1]. Available from: https://www.hss.moph.go.th/show_topic.php?id=4582.
Nutbeam D. The evolving concept of health literacy. Soc Sci Med. 2008;67(12):2072–8.
Jirawong N J, Chitmanasak N. Development of a health literacy model to promote health behaviors based on the 3A principles of the elderly. J Roi Kaensarn Acad. 2022;7(4):233–49.
Public Health Support Division. Family volunteer manual (FV). Bangkok: Agricultural Cooperative Federation of Thailand; 2016.
Likert R. A technique for the measurement of attitude. Arch Psychol. 1932;140:1–55.
Fisher W R. Clarifying the narrative paradigm. Communication Monographs. 1989;56(1):55-8.
Yabkhai Y, Wongsawat P. A model for developing the performance of village health volunteers [dissertation]. Phitsanulok (TH): Naresuan University; 2000.
Mohajer N, Singh D. Factors enabling community health workers and volunteers to overcome socio-cultural barriers to behaviour change: meta-synthesis using the concept of social capital. Hum Resour Health. 2018;16(1):63.
Scott K, Beckham S W, Gross M, Pariyo G, Rao K D, Cometto G, et al. What do we know about community-based health worker programs? A systematic review of existing reviews on community health workers. Hum Resour Health. 2018;16(1):39.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง