การพัฒนาระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม ของทีมดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
ความคลาดเคลื่อนทางยา, คลินิกเบาหวาน, การวิจัยเชิงปฏิบัติการ, กระบวนการมีส่วนร่วมบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาระบบ และประเมินผลระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานในโรงพยาบาลเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
รูปแบบการวิจัย: การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research)
วัสดุและวิธีการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างเป็นใบสั่งยาผู้ป่วยเบาหวานในคลินิกเบาหวาน ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2568 เครื่องมือที่ใช้การดำเนินงานเป็นแนวปฏิบัติการให้บริการสำหรับการป้องกันความคลาดเคลื่อนในคลินิกเบาหวาน และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบรายงาน โดยกระบวนการมีส่วนร่วมของทีมดูแลผู้ป่วย (สหวิชาชีพ) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา
ผลการวิจัย: 1) พบอุบัติการณ์ความคลาดเคลื่อนทางยาส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอน Pre-dispensing error คือการสั่งยาผิดจำนวน และขั้น Dispensing error คือ การจ่ายยาผิดคน 2) ระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาในคลินิกเบาหวานประกอบด้วย ได้แก่ (1) การใช้บัตรประชาชนและ/หรือบาร์โค๊ดป้อนข้อมูล (2) สมุดประจำตัวผู้ป่วย (3) ทบทวนชื่อ-สกุลและที่อยู่ผู้ป่วยทุกครั้ง (4) อบรมการใช้ HosXp, learning by doing (5) กำหนดแนวทางการป้องกัน ME ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติงาน (6) เภสัชกรทำ Medication Reconciliation (7) พยาบาลลงวันนัดในสมุดผู้ป่วย HosXp (8) ทะเบียนยาใน HosXp ให้สีตัวอักษรของกลุ่มยาโรคเรื้อรังแตกต่างจากกลุ่มยาอื่น (9) แพทย์พิมพ์สั่งยาใน HosXp และเขียนคำสั่งในสมุดประจำตัวผู้ป่วย (10) ทำป้ายชื่อยาบนชั้นเก็บยาให้ตัวอักษร (Font) เหมือนกับบนฉลากซองยา (11) จัดเรียงยาตามบ้านเลขที่ยา (12) จัดหาไมโครโฟนสื่อสารสองทางที่จุดจ่ายยา (13) จัดให้บริการแก่ผู้ป่วยก่อนเวลาราชการ (คลินิกรุ่งอรุณ) และ (14) จัดส่งยาทางไปรษณีย์กับผู้ป่วยที่สมัครใจและหลังจากนำระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยาไปใช้พบว่า หลังการวิจัยมีอัตราความคลาดเคลื่อนทางยา (ต่อพันใบสั่งยา) ลดลงทั้ง 3 ประเภท คือ Prescribing Error ลดลง 6.62 จาก 11.07 เป็น 4.45, Pre-dispensing error จาก 9.22 เป็น 7.79 ลดลง 1.43 และ Dispensing error จาก 0.92 เป็น 0.00 ลดลง 0.92 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ทั้ง 3 ประเภท และผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจกับระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา ร้อยละ 85.71
สรุปและข้อเสนอแนะ: ผลการวิจัยครั้งนี้ช่วยลดการเกิดความคลาดเคลื่อนทางยาและผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจและต้องการให้ใช้ระบบป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยานี้ในกลุ่มโรคเรื้อรังทุกคลินิกโรค เนื่องจากมีบริบทที่ใกล้เคียงกัน
เอกสารอ้างอิง
Wittich C M, Burkle C M, Lanier W L. Medication errors: an overview for clinicians. Mayo Clin Proc. 2014;89(8):1116–25.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.). รายงานประจำปี 2560. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ; 2560. (National Health Security Office. Annual report 2017); 2560.
Asavaroengchai S, Sriratanaban J, Hiransuthikul N, Supachutikul A. Identifying adverse events in hospitalized patients using Global Trigger Tool in Thailand. Asian Biomed. 2009;3(5):545–50.
สรรธวัช อัศวเรืองชัย. การประเมินการใช้เครื่องมือส่งสัญญาณรวม เพื่อค้นหาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ของผู้ป่วยในของโรงพยาบาล [วิทยานิพนธ์]. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2551.
วิธนี เกตุพุก, กนกกช บุศย์น้ำเพชร, อรรถยา เปล่งสงวนรุจิรา โสภากร. การค้นหาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาโดยใช้ตัวส่งสัญญาณในผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล. วารสารเภสัชศาสตร์อีสาน. 2559;12(3):16–23.
น่ารัก ยี่สุ่นแป้น, ปราโมทย์ ตระกูลเพียรกิจ, วรรณี กีรติเตชากร, ทิฆัมพร เอื้อวิเศษวงศ์, ธิดา นิงสานนท์, อุษา อุษา ฉายเกล็ดแก้ว, และคนอื่นๆ. การค้นหาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโดยใช้เครื่องมือส่งสัญญาณ (Thai study). วารสารเภสัชกรรมไทย; 2558;7(2):234-49.
ใจภัส วัดอุดม. การพัฒนาระบบก่อนการจ่ายยาผู้ป่วยในเพื่อลดความคลาดเคลื่อนทางยา. วารสารเภสัชกรรมคลินิก. 2563;26(3):1-15.
Rattanarojsakul P, Thawesaengskulthai N. A medication safety model: a case study in Thai hospital. Glob J Health Sci. 2013;5(5):89–101.
World Health Organization. Medication errors: technical series on safer primary care. Geneva: WHO; 2016.
Botros S, Dunn J. Implementation and spread of a simple and effective way to improve the accuracy of medicines reconciliation on discharge: a hospital-based quality improvement project and success story. BMJ Open Qual. 2019;8(3):e000363.
Goedecke T, Ord K, Newbould V, Brosch S, Arlett P. Medication errors: new EU good practice guide on risk minimisation and error prevention. Drug Saf. 2016;39(6):491–500.
Aljuaid M, Alajman N, Alsafadi A, Alnajjar F, Alshaikh M. Medication error during the day and night shift on weekdays and weekends: a single teaching hospital experience in Riyadh, Saudi Arabia. Risk Manag Healthc Policy. 2021;14:2571-8.
Rezaei F, Alikhani A, Ashtarian H, Shahdadi H, Zand S. Evaluation of medication errors in nursing during the COVID-19 pandemic and their relationship with shift work at teaching hospitals: a cross-sectional study in Iran. Front Med (Lausanne). 2023;10:1200686.
Shermock S B, Shermock K M, Schepel L L. Closed-Loop Medication Management with an Electronic Health Record System in U.S. and Finnish Hospitals. Int J Environ Res Public Health. 2023;20(17):6680.
Tiu M G, Ballarta P J, De Leon K A, Isulat K, Narvaez R A, Salas M. Impact on use of barcode scanners in medication administration: An integrative review. Can J Nurs Inform. 2025;20(1).
Alotaibi Y K, Alshehri M, Alazmi A, Almalki Z S. Impact of health information technology and medication reconciliation on medication errors in outpatient clinics: A quasi-experimental study. Int J Med Inform. 2021;151:104475.
Schwappach D L B, Taxis K, Pfeiffer Y. Barcoding and double-check systems to reduce dispensing errors in chronic disease clinics: A multicenter prospective intervention study. BMJ Qual Saf. 2022;31(7):527-35.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
เวอร์ชัน
- 2025-10-02 (2)
- 2025-10-02 (1)
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง