การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของโรงพยาบาลปทุมรัตต์
คำสำคัญ:
การพัฒนา, แนวทางการดูแลผู้ป่วย, ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMIบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนาแนวทาง และประเมินผลการใช้แนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ของโรงพยาบาลปทุมรัตต์
รูปแบบการวิจัย : เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&D)
วัสดุและวิธีการวิจัย : กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ 7 คน สำหรับการสนทนากลุ่ม 10 คน และญาติ 30 คน และผู้ป่วยสำหรับทดลองใช้แนวทาง 30 คน เก็บรวบรวมโดย แบบสอบถามความต้องการ แบบประเมินความเหมาะสม แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์และแบบประเมินความพึงพอใจ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา One Sample t-test
ผลการวิจัย : พบปัญหาหลักในการดูแลผู้ป่วย STEMI ได้แก่ การประเมินที่ยังไม่ครอบคลุม การวินิจฉัยและรักษาล่าช้า เนื่องจากขาดบุคลากรเฉพาะทาง และข้อจำกัดในการส่งต่อ ความต้องการจำเป็น (PNI) สูงสุดคือ ความพร้อมของแพทย์และพยาบาลในการรองรับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง (PNI = 0.530) แนวทางที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การคัดกรองอาการโดยใช้แบบประเมินเจ็บหน้าอกจากกลุ่มกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันโรงพยาบาลปทุมรัตต์ เพิ่มการคัดกรองในกลุ่มโรค DM, HT, old MI ที่มาด้วยอาการ Dizzeness, Dyspepsia ให้ทำ EKG ทุกรายและทำระบบแจ้งเตือนในโปรแกรม HOSxP 2) ทำ EKG รายงานแพทย์อ่านผลภายใน 10 นาที 3) Consult cardio med โรงพยาบาลแม่ข่าย วินิจฉัยเป็น STEMI, ให้ยา Streptokinase โดยใช้ช่องทางด่วนเบิกยารอเพื่อลดระยะเวลาการให้ยา, Workshop เจ้าหน้าที่ เรื่องการให้ยา Streptokinase บันทึกการให้ยาระบุเวลาให้ยา เวลายาหมดเพื่อให้ได้รับยาทันเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ 4) ประสานการส่งต่อโรงพยาบาลแม่ข่ายคือโรงพยาบาลร้อยเอ็ด, ส่งข้อมูลใน Line ส่งต่อ STEMI fast track นำส่งผู้ป่วยโดยพยาบาล 2 คน 5) การติดตามผลการรักษา ติดตามเยี่ยมบ้านทุกราย และ 6) พยาบาลคลินิกโรคเรื้อรังและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลให้สุขศึกษาแก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับโรค AMI และระบบ EMS ให้ผู้ป่วยและญาติทราบอาการฉุกเฉินที่ต้องมาโรงพยาบาล ประเมินผลพบว่าผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาทันเวลาระบบ Fast Track จำนวน 27 คน (90%), เข้ารับบริการโดยระบบ EMS จำนวน 15 คน (50%), ระยะเวลาเริ่มให้ยาละลายลิ่มเลือด (Door-to-needle) เวลาเฉลี่ย 27 นาที จำนวน 25 คน (83.33%), Onset to Needle Time (OTN) เวลาเฉลี่ย 85 นาที จำนวน 21 คน (70%), อัตราการเสียชีวิต 0 %
สรุปและข้อเสนอแนะ : ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าแนวทางดังกล่าวลดอัตราการตายและเพิ่มคุณภาพการดูแล ดังนั้น จึงควรจัดอบรมพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง จัดระบบ EKG แบบเรียลไทม์ และส่งเสริมให้โรงพยาบาลชุมชนอื่นนำแนวทางไปปรับใช้
เอกสารอ้างอิง
งานเวชระเบียน. ข้อมูลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ โรงพยาบาลปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด. โรงพยาบาลปทุมรัตต์: จังหวัดร้อยเอ็ด; 2565.
ทีมดูแลผู้ป่วย (PCT). รายงานการทบทวนคุณภาพการดูแลผู้ป่วย โรงพยาบาลปทุมรัตต์ จังหวัดร้อยเอ็ด.โรงพยาบาลปทุมรัตต์: จังหวัดร้อยเอ็ด; 2565.
Krueger R, Casey M. Focus Groups : A Practical Guide for Applied Research; 2009.
Burns N, Grove S. The practice of nursing research: Appraisal, synthesis and generation of evidence. 6th Edition, Saunders Elsevier, St. Louis; 2009.
Preeyasaksakul C, Thipsot P. Effects of Nursing Supervision System Development for Patients with ST-Segment Elevation Myocardial Infarction (STEMI) to Increase the Quality of Primary Percutaneous Coronary Intervention Received at Phrapokklao Hospital. Phrapokklao Journal. 2023;41(1):104-15.
Kumwichar P, Thungthong J, Liabsuetrakul T, Tachimori H, Hosozawa M, Saito E, et al. Impact of access to coronary angiography and percutaneous coronary intervention on in-hospital and five-year mortality in patients with acute coronary syndrome: a propensity-matched cohort study in Thailand. Global Health Research and Policy. 2024;9(48).
กาญจนา บัวแก้ว. การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ในโรงพยาบาลชุมชน. วารสารการพยาบาลโรงพยาบาลมหาสารคาม. 2564;18(2):55–67.
พรรณวดี ศรีสมบูรณ์. ประสิทธิภาพของระบบส่งต่อผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันในโรงพยาบาลระดับปฐมภูมิ. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ. 2562;42(3):112–25.
Parasuraman A, Zeithaml V A, Berry L L. A conceptual model of service quality and its implications for future research. Journal of Marketing. 1985;49(4):41–50.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง