ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
โรคมะเร็งเต้านม, สตรีกลุ่มเสี่ยง, ความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดร้อยเอ็ด
รูปแบบการวิจัย : การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบ Case-Control Study
ระเบียบวิธีการวิจัย : กลุ่มศึกษาเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการตรวจคัดกรองเชิงรุก ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านม โดยมีผลตรวจพยาธิวิทยา ยืนยันว่าเป็นมะเร็งเต้านม แบบบันทึกข้อมูลประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป และแบบบันทึกปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม ดำเนินการวิจัยระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 ถึง 31 ธันวาคม 2566 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ประกอบด้วย สถิติพรรณนา การวิเคราะห์แบบตัวแปรเดี่ยว (Univariable analysis) และการวิเคราะห์แบบตัวแปรพหุ (Multivariable analysis) ใช้ในการ Adjusted OR เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โดยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของค่า Adjusted Odds ratio (OR Adj) และค่าช่วงเชื่อมั่นที่ 95% CI (95% Confidence interval) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญ p<.05
ผลการวิจัย : ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดร้อยเอ็ด การวิเคราะห์ข้อมูลหลังการปรับค่าด้วยตัวแปรอายุ พบว่า สตรีกลุ่มที่ตรวจพบขนาดของเต้านมแตกต่างกันผิดปกติมีความเสี่ยง 3.70 เท่า (95%CI: 2.134–6.422) ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด มีความเสี่ยง 1.96 เท่า (95%CI: 1.286–2.987) และผู้ที่ตรวจพบบริเวณหัวนมถูกดึงรั้งและสีผิดปกติ มีความเสี่ยง 1.66 เท่า (95%CI: 0.762–3.613)
สรุปและข้อเสนอแนะ : จากผลการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในสตรีกลุ่มเสี่ยงในจังหวัดร้อยเอ็ด นั้น แสดงให้เห็นว่า การตรวจคัดกรองสตรีกลุ่มที่ตรวจพบขนาดของเต้านมแตกต่างกันผิดปกติ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด และผู้ที่ตรวจพบบริเวณหัวนมถูกดึงรั้งและสีผิดปกติ มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
เอกสารอ้างอิง
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. มะเร็งเต้านม [อินเตอร์เน็ต]. 2567. [เข้าถึงเมื่อ 10 พฤษภาคม 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.med.cmu.ac.th/web/news-event/news/hilight-news/2734/?utm_source=chatgpt.com
National Cancer Institute, Department of Medicine, Ministry of Public Health. Annualreport 2019. Bangkok: Department of Medical Services, Ministry of Public Health; 2020.
จุฑามาศ ปึงธนานุกิจ, จิตรานันต์ กงวงษ์. การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับการผ่าตัดที่แผนกผู้ป่วยนอก. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2566;5(1):396-480.
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. รายละเอียดตัวชี้วัดกระทรวงสาธารณสุข 2568 [อินเตอร์เน็ต]. 2567. [เข้าถึงเมื่อ 10 พฤษภาคม 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://spd.moph.go.th/wp-content/uploads/2024/11/KPI_template_2568.pdf
Lwanga S K, Lemeshow S. Sample size determination in health studies: a practical manual. Macmillan: World Health Organization; 1991.
วิศิษฎ์ ฉวีพจน์กำจร และคณะ. ความสัมพันธ์ระหว่างประวัติครอบครัวและมะเร็งเต้านมในสตรีไทยก่อนหมดประจำเดือน. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2561.
โกสินทร์ ยอดแสน. ลักษณะของปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมในกลุ่มสตรีชาวไทย ภูเขาปกาเกอะญอ จังหวัดตาก [วิทยานิพนธ์]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2551.
ปองทิพย์ อุ่นประเสริฐ, ภาคภูมิ บำรุงราชภักดี, พุฒิศักดิ์ พุทธวิบูลย์, รัศมี สังข์ทอง. ปัจจัยเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านมชนิด Triple-Negative Breast Cancer (TNBC). 2561;5(2):1-9.
นิรมล พจน์ด้วง, สมคิด ปราบภัย, สุจิรา ฟุ้งเฟื่อง, อรธิรา บุญประดิษฐ. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม : การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม. 2565;45(3):26-35.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
เวอร์ชัน
- 2025-07-08 (2)
- 2025-07-08 (1)
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง