การพัฒนารูปแบบการให้ยาเกี่ยวกับโรคประจำตัวของผู้ป่วยก่อนมารับการระงับความรู้สึกในโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ
คำสำคัญ:
รูปแบบการให้ยา, โรคประจำตัว, การระงับความรู้สึก, โรงพยาบาลชุมชน, การพัฒนารูปแบบบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาและประเมินผลของการนำรูปแบบการให้ยาเกี่ยวกับโรคประจำตัวของผู้ป่วยก่อนมารับการระงับความรู้สึกในโรงพยาบาลสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
รูปแบบการวิจัย : เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development: R&D)
วัสดุและวิธีการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 35 คน และผู้ป่วยที่เข้ารับการระงับความรู้สึกจำนวน 53 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการปฏิบัติตามแนวทาง แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินผลข้อมูลทางคลินิก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย : 1) รูปแบการให้ยา ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การวิเคราะห์สถานการณ์จากข้อมูลเวชระเบียน การสัมภาษณ์ผู้ป่วย และการสนทนากลุ่มกับบุคลากร (2) การพัฒนารูปแบบแนวทาง One Page สำหรับการให้ยา/หยุดยาในผู้ป่วยโรคประจำตัวก่อนผ่าตัด และ (3) การประเมินผลการใช้แนวทางดังกล่าวในด้านการปฏิบัติและความพึงพอใจของบุคลากรผู้ให้บริการ และ 2) ผลการนำรูปแบบไปใช้ พบว่า บุคลากรมีระดับการปฏิบัติตามแนวทางเฉลี่ย 8.82 จาก 12 คะแนน และร้อยละของการปฏิบัติตามอยู่ในระดับสูง (85.7%–100%) โดยเฉพาะในกลุ่มยา ACEI, ARB, ยารักษาไทรอยด์ และยาขยายหลอดลม ที่มีการปฏิบัติตามครบทุกกรณี (100%) ส่วนยา NSAIDs, Statins และ Warfarin พบว่ามีการปฏิบัติตามในระดับต่ำกว่าร้อยละ 15 ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการสื่อสารและสนับสนุนการเรียนรู้เพิ่มเติม การประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางที่พัฒนาขึ้น พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยรวม 4.63 (SD. = 0.19) ด้านที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ได้แก่ ความง่ายในการนำไปใช้ ความสะดวก และการประหยัดเวลา (Mean = 4.74, SD. = 0.44) แนวทางดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ของหน่วยงาน และได้รับการยอมรับในระดับสูง ผลลัพธ์จากกลุ่มผู้ป่วยที่รับบริการผ่าตัดส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน (28.3%) และความดันโลหิตสูง (20.8%) ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำในการให้ยา/งดยาก่อนการผ่าตัดได้อย่างถูกต้อง เช่น การงด Enalapril และ ASA (ร้อยละ 100) สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิผลของแนวทางในการลดภาวะแทรกซ้อนก่อนการระงับความรู้สึก
สรุปและข้อเสนอแนะ : แนวทางที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลชุมชน ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย และเสริมประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรด้านการจัดการยา พร้อมส่งเสริมการอบรมและสื่อสารระหว่างทีมวิชาชีพอย่างต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค. คู่มือแนวทางการดำเนินงาน NCD Clinic Plus ปี 2565. กรุงเทพฯ: สำนักโรคไม่ติดต่อ; 2565.
Kertai M D, Pal N, Palanca B J, Lin N, Sun Z Z, Zhang L, et al. Association of perioperative hypotension with myocardial injury and death after noncardiac surgery. Anesthesiology. 2020;132(6):1210–20.
โรงพยาบาลรามาธิบดี. Self-report และการประเมินก่อนการรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อช่วยลดการถูกงดหรือเลื่อนผ่าตัด [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2566]. เข้าถึงได้จาก: https://www.rama.mahidol.ac.th
โรงพยาบาลนครพนม. การพัฒนารูปแบบการเตรียมความพร้อมของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการผ่าตัด. วารสารโรงพยาบาลนครพนม. 2566;9(2):72–80.
Institute of Medicine. Crossing the quality chasm: A new health system for the 21st century. Washington, DC: National Academy Press; 2001.
American Society of Anesthesiologists. ASA physical status classification system [Internet]. 2020 [cited 2023 Feb 24]. Available from: https://www.asahq.org/
โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ. ข้อมูลการให้บริการโปรแกรม HosxP. ร้อยเอ็ด: โรงพยาบาลสุวรรณภูมิ; 2566.
The Royal College of Anesthesiologists of Thailand. Anesthesia: Safety for all [Internet]. 2019 [cited 2023 Feb 24]. Available from: http://www.rcat.org
Ferschl M B, Tung A, Sweitzer B, Huo D, Glick D B. Preoperative medication management: Defining the perioperative medicine physician’s role. Anesth Analg. 2018;126(5):1838–50.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง