แนวปฏิบัติการพยาบาลเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ป่วยโรคลมชัก โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
โรคลมชัก, การเสริมสร้างพลังอำนาจบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาปัญหาการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก พัฒนาแนวปฏิบัติและประเมินผลลัพธ์การใช้แนวปฏิบัติการพยาบาลเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ป่วยโรคลมชัก โรงพยาบาลร้อยเอ็ด
รูปแบบการวิจัย : การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research)
ระเบียบวิธีการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคลมชัก ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ได้รับวินิจฉัยโดยแพทย์ว่าเป็นโรคลมชักและมีการรักษาด้วยยากันชัก ที่มารับบริการตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปในคลินิกอายุกรรมประสาทและลมชัก โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จำนวน 35 คน และกลุ่มผู้ให้บริการด้านการพยาบาล จำนวน 9 ราย ดำเนินการระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงเดือน เมษายน 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แนวปฏิบัติการพยาบาลเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ป่วยโรคลมชัก 2) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความพึงพอใจ และแบบประเมินประเมินคุณภาพชีวิต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน Paired sample t-test กำหนดช่วงความเชื่อมั่น 95%
ผลการวิจัย : การดูแลผู้ป่วยโรคลมชักนั้น มีประเด็นปัญหาหลายอย่างที่พยาบาลและผู้ป่วยต้องเผชิญปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือ ผู้ป่วยขาดความรู้และทักษะการจัดการยา รวมถึงอุปสรรคด้านค่าใช้จ่าย การลางาน ข้อจำกัดสถานที่และเวลา โดยรวมแล้ว ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการดูแลผู้ป่วยโรคลมชัก ทั้งในมิติของการให้ความรู้ การเสริมสร้างทักษะให้ผู้ป่วยดูแลตนเองได้ และการอำนวยความสะดวกในด้านการเดินทางและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์จากหลักฐานเชิงประจักษ์ นำไปสู่การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ป่วยโรคลมชัก ประกอบด้วย 7 แนวทาง คือ (1) การสร้างกลุ่ม (2) ส่งผู้ป่วยตรวจทาง Telemedicine โรงพยาบาลใกล้บ้าน (3) ส่งยาทางไปรษณีย์ (4) ทำปฏิทินสื่อการสอนรายการยา (5) จัดทำ Protocol ในการคัดกรองผู้ป่วยรับยาไปรษณีย์ (6) จัดทำคู่มือดูแลตนเองที่บ้าน และ (7) การสร้างแบบฟอร์มการส่งผู้ป่วยรักษาโรงพยาบาลใกล้บ้าน ผลการใช้แนวปฏิบัติ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด (Mean= 4.55, SD. = 0.54) ก่อนและหลังการใช้แนวปฏิบัติ กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจ และคุณภาพชีวิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05)
สรุปและข้อเสนอแนะ : แนวปฏิบัติการพยาบาลเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ป่วยโรคลมชัก ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคลมชัก มีความพึงพอใจ และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม จึงควรนำผลการศึกษามาใช้ในการขยายผล และพัฒนาการพยาบาลผู้ป่วยในกลุ่มโรคอื่นๆ
เอกสารอ้างอิง
องค์การอนามัยโลก (WHO). โรคลมชัก [อินเตอร์เน็ต]. 2567. [เข้าถึงเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/epilepsy
สถาบันประสาทวิทยา. แนวทางการรักษาโรคลมชักสำหรับแพทย์ [อินเตอร์เน็ต]. 2567. [เข้าถึงเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: http://www.neurothai.org/images/2012/download/epilepsy.pdf
สุรชัย ลิขสิทธิ์วัฒนกุล. Paroxsymal/Non-epileptic events. ใน: Epilepsy digest. สมาคมโรคลมชักแห่งประเทศไทย. กรุงเทพ: 2002;1:4-9.
สมศักดิ์ เทียมเก่า. สถานการณ์โรคหลอดเลือดสมอง. วารสารประสาทวิทยาประเทศไทย. 2566;37(4):54-60.
รัตนา อินทะผิว, นันทพรรณ์ ชัยนิรันดร์, สินีนาฏ มุ่งมานิตย์มงคล, สมศักดิ์ เทียมเก่า. ความชุกของผู้มารับบริการคลินิกโรคลมชักในโรงพยาบาลศรีนครินทร์. North-Eastern Thai Journal of Neuroscience. 2565;17(4):1-7.
ศูนย์ข้อมูล โรงพยาบาลร้อยเอ็ด. สถิติผู้ป่วยโรคลมชักที่มารับบริการคลินิกอายุรกรรมประสาทและลมชัก โรงพยาบาลร้อยเอ็ด. ร้อยเอ็ด: โรงพยาบาลร้อยเอ็ด; 2566.
Gibson C H. The process of empowerment in mothers of chronically ill children. Journal of Advanced Nursing. 1995;21:1201-10.
Heinisch O. Cochran W. G.: Sampling Techniques, 2. Aufl. John Wiley and Sons, New. York, London 1963. Preis s. Biometrische Zeitschrift. 1965;7(3):203.
วรรษา แซ่อุ่ย. เรื่องประสิทธิผลของโปรแกรมการให้ความรู้โรคลมชักโดยใช้สื่อวีดีทัศน์ภาพการ์ตูนเคลื่อนไหวสำหรับผู้ดูแลเด็กโรคลมชัก. วารสารกรมการแพทย์. 2565;47(2):53-60.
Balasubramanian N. Likert Technique of Attitude Scale Construction in Nursing Research. Asian J. Nur. Edu. & Research. 2012;2(2):65-69.
สุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุล และคณะ. เครื่องมือวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลก ชุดย่อฉบับภาษาไทย. เชียงใหม่: โรงพยาบาลสวนปรุง; 2545.
อัคบาร์ ยะโกะ. รูปแบบการดูแลแบบประคับประคองต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับรังสีรักษา อาคารเย็นศิระ [วิทยานิพนธ์]. สงขลา: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์; 2561.
Polit D. Hungler B. Nursing Research: Principle and Method, 6th ed.; Philadelphia: Lippincott Company; 1999.
นฤมล มานะกิจ. การรับรู้และความเข้าใจของผู้ดูแลเกี่ยวกับโรคลมชัก. วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ. 2565;35(2):145-56.
สมชัย กฤษณา. การเข้าถึงบริการสุขภาพของผู้ป่วยโรคลมชักในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย. วารสารสาธารณสุขศาสตร์. 2563;49(3):173-83.
Smith J A, Marks H L. Cognitive-behavioral therapy for depression in epilepsy patients: A randomized controlled trial. Journal of Epilepsy Research. 2020;27(3):143-52.
ณัฐปัณฑ์ แก้วเงิน. ผลของโปรแกรมควบคุมการชักผ่านแอปพลิเคชันไลน์ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยโรคลมชัก. รามาธิบดีพยาบาลสาร. 2565;28(1):3-18.
รัชนี กาญจนารักษ์. การประเมินโปรแกรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคลมชักในประเทศไทย. วารสารสุขศึกษา. 2563:19(4);203-15.
Davis L, Faulkner M, Thompson R. Mobile application for epilepsy management: Improving patient adherence and reducing seizure frequency. Epilepsy & Behavior; 2021.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
เวอร์ชัน
- 2025-06-07 (2)
- 2025-06-07 (1)
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง