การเปรียบเทียบความไวและความจำเพาะของการตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับด้วยวิธี OV-RDT กับวิธี Modified Kato-Katz technique ในชุมชนเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลปทุมรัตต์
คำสำคัญ:
การตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับด้วยปัสสาวะ, การตรวจอุจจาระด้วยโมดิฟายด์คาโต้แคทซ์บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบความไวและความจำเพาะการตรวจคัดกรองหาการติดเชื้อโรคพยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverrini โดยวิธี OV-RDT และ MKKT
รูปแบบการวิจัย: การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental research)
วัสดุและวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อโรคพยาธิใบไม้ตับอายุ 15 ปีขึ้นไป ถึง 75 ปี ในพื้นที่ชุมชนเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลปทุมรัตต์ จำนวน 15 หมู่บ้าน จำนวน 450 คน เก็บรวบรวม โดยแจกตลับเก็บอุจจาระและปัสสาวะ รับสิ่งส่งตรวจตามวัน เวลาที่นัดหมาย ทำการตรวจวิเคราะห์ และลงผลการตรวจใน แบบคัดกรองความเสี่ยง ชุดตรวจ Ova and Parasite Rapid Diagnostic Test : OV-RDT และ Modified Kato-Katz technique: MKKT วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ และวิเคราะห์เชิงสถิติ ได้แก่จำนวน ร้อยละ 95%CI P-value ค่าความแตกต่าง
ผลการวิจัย: พบการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับร้อยละ 48.22 โดยพบการติดเชื้อด้วยวิธีเดียวร้อยละ 42.00 และพบด้วยทั้งสองวิธีร้อยละ 6.22 ผลการทดสอบความไวของ OV-RDT อยู่ที่ 94.97% ในขณะที่ MKKT มีความไวที่ 84.85% p = .001 ซึ่งวิธี OV-RDT มีความไวสูงกว่าการใช้ MKKT อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ด้านความจำเพาะ พบว่า OV-RDT มีค่าความจำเพาะที่ 92.00% ขณะที่ MKKT มีค่าความจำเพาะสูงถึง 100.00% p< .0001 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า MKKT มีความจำเพาะที่สูงกว่ามาก ค่าทำนายผลบวกร้อยละ 100 ค่าทำนายผลลบ ร้อยละ 97.86 และค่าความถูกต้องร้อยละ 98.01 นอกจากนี้วิธี OV-RDT ใช้เวลาตรวจ 10 นาที ซึ่งน้อยกว่า เมื่อเทียบกับวิธี MKKT ใช้เวลา 45 นาที
สรุปและข้อเสนอแนะ : ทั้งสองวิธีมีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ในตับแตกต่างกัน โดยวิธี OV-RDT มีความไวสูงกว่า ใช้เวลาน้อยกว่า และสะดวกในการเก็บตัวอย่าง แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ในขณะที่วิธี Modified Kato-Katz technique มีความจำเพาะและค่าทำนายผลบวกสูงกว่า แต่ใช้เวลานานกว่าการเลือกใช้วิธีทดสอบจึงควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์ ความเร่งด่วน ทรัพยากรที่มี และบริบทของการใช้งาน
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Control of foodborne trematode infections. Geneva: World Health Organization; 2020.
สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค. แนวทางการควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับ. กรุงเทพฯ: กระทรวงสาธารณสุข; 2566.
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. สช.ร่วมงานมหกรรมการตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี [อินเทอร์เน็ต].2568 [เข้าถึงเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://old.nationalhealth.or.th/th/node/4840
ไทยแลนด์พลัส. วช. -มข. มอบชุดตรวจพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว (OV-RDT) 100,000 ชุด ให้กับกระทรวงสาธารณสุข [อินเทอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 9 ตุลาคม 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://www.thailandplus.tv/archives/366592
สุมาลี จันทลักษณ์. อัตราความชุกพยาธิใบไม้ตับ ด้วยวิธีการตรวจปัสสาวะ OV-RDT ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 เอกสารสรุปตรวจราชการครั้งที่ 1 ปี 2565. สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น; 2565.
พงษ์เดช สารการ. เอกสารประกอบการสอน เรื่องการคำนวณขนาดตัวอย่าง. ขอนแก่น: ภาควิชาชีวสถิติประชากรศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2560.
ชนิกา วรสิษฐ, ไพบูลย์ สิทธิถาวร. การตรวจแอนติเจนในปัสสาวะเพื่อวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับ. วารสารปรสิตวิทยาและวิทยาศาสตร์สุขภาพ. 2563;15(4):123-31.
หฤทัย ทบวงษ์ศรี, เสรี สิงห์ทอง. ผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการตรวจหาการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ ด้วยวิธี OV-Rapid diagnostic test, Modified Kato-Katz technique และ Formalin ethyl-acetate concentration technique ในเขตสุขภาพที่ 7. วารสารวิทยาศาสตร์และสุขภาพ. 2564;20:1-15.
สรญา แก้วพิทูลย์, ณัฏฐวุฒิ แก้วพิทูลย์, รัตนา รุจิรกุล, ปาริชาติ วัคคุวัทพงษ์, ทวีศักดิ์ ทองทวี, ลิขิต มาตระกูล. การตรวจวินิจพยาธิใบไม้ตับด้วยวิธีแบบเข้มข้นมินิ พาราเซพ โซเวนท์ฟรี พาราสิต [รายงานการวิจัย]. นครราชสีมา: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี; 2568.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง