การพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
แนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก, แนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาสถานการณ์ พัฒนาแนวทาง และศึกษาผลการพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง
รูปแบบการวิจัย: เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research: AR) แบบลงมือปฏิบัติร่วมกัน (Mutual Collaborative Action Research)
วัสดุและวิธีการวิจัย: ผู้ให้ข้อมูล เป็น 1) คณะกรรมการป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล จำนวน 30 คน 2) ผู้รับผิดชอบหลักในการพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลทางคลินิก 6 คน และ 3) พยาบาลวิชาชีพ 121 คน ดำเนินตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2566 – 31 มกราคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง เก็บรวบรวมข้อมูลระยะแรกโดยใช้แบบสัมภาษณ์สถานการณ์การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ อุบัติการณ์การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ ระยะที่ 2 ใช้แบบคำถามในการสนทนากลุ่มเพื่อยกร่างแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง และแบบประเมินความเหมาะสมของแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง โดยคำถามเป็นแบบมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) และในระยะที่ 3 ใช้แบบประเมินระดับการปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
ผลการวิจัย: 1) สถานการณ์การติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพพบว่า แนวทางการวินิจฉัยการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพยังไม่ชัดเจน พยาบาลควบคุมการติดเชื้อประจำหอผู้ป่วยขาดความรู้และทักษะที่เพียงพอในการวินิจฉัยการติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ การประสานการดูแลในกรณีผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพระหว่างทีมสหสาขาวิชาชีพทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน ยังไม่มีระบบที่ชัดเจน จากรายงานอุบัติการณ์พบว่า บุคลากรไม่ปฏิบัติตามแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ 2) การพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ แนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทองที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 3 หมวด 12 ด้าน ได้แก่ หมวดที่ 1 การบริหารจัดการ ด้านที่ 1) โครงสร้างบทบาท หน้าที่ ผู้รับผิดชอบ ด้านที่ 2) นโยบาย และด้านที่ 3) คู่มือ/แนวทางปฏิบัติ หมวดที่ 2 การจัดการระบบบริการผู้ป่วย ด้านที่ 1) การจัดสถานที่สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านที่ 2) การจัดการผ้าที่ใช้กับผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านที่ 3) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านที่ 4) การควบคุมสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ด้านที่ 5) การเก็บสิ่งส่งตรวจผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ และด้านที่ 6) การรับส่งต่อและการรายงานข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ หมวดที่ 3 การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อของบุคลากร ด้านที่ 1) การปฏิบัติตามหลัก การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากการสัมผัส ด้านที่ 2) การทำความสะอาดมือ ด้านที่ 3) การสวมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายในการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ และ 3) ผลการพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง พบว่า การประเมินผลการพัฒนาแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทองในภาพรวมพบว่า มีการปฏิบัติโดยรวม อยู่ในระดับมาก (Mean=3.86, SD.=0.59)
สรุปและข้อเสนอแนะ: ผลการวิจัยครั้งนี้ส่งผลให้แนวปฏิบัติทางการพยาบาลแนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ โรงพยาบาลโพนทอง อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ดที่พัฒนาขึ้นมีประโยชน์เป็นแนวทางให้พยาบาลป้องกัน เฝ้าระวังและจัดการภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและเสียชีวิตได้
เอกสารอ้างอิง
กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ จาก อสม. สู่ อสค. บริษัท โอ-วิทย์ (ประเทศไทย) จำกัด; 2560.
World Health Organization. Regional strategy on prevention and containment of antimicrobial resistance [Internet]. 2021 [cited 2023 June 9]. Available from: http:// www.searo.who.int/LinkFiles/ BCT-HTM-407.PDF
ศูนย์เฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ. แผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพประเทศไทย พ.ศ. 2560-2564 [อินเทอร์เน็ต]. 2560 [เข้าถึงเมื่อ 9 ตุลาคม 2566]. เข้าถึงได้จาก: http://www.fda.moph.go.th/sites/drug/Shared%20Documents/AMR%20การจัดการต้านจุลชีพ/แผนยุทธศาสตร์%20AMR%202560-2564.pdf
Centers for Disease Control and Prevention. Outline for healthcare-associated infections surveillance [Internet]. 2006 [cited 2023 June 9]. Available from: http://www.cdc.gov/ncidod/dhqp/pdf/nhsn/OutlineForHAISurveillance.pdf.
Lee T B, Montgomery O G, Marx J, Olmsted R N, Scheckler W E. Recommended practices for surveillance: association for professionals in infection control and epidemiology (APIC). American Journal of Infection Control. 2007;35(7):427-40.
อะเคื้อ อุณหเลขกะ. แนวทางการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล. พิมพ์ครั้งที่ 4. เชียงใหม่: มิ่งเมืองนวรัตน์; 2561.
Stone P W, Dick A, Pogorzelska M, Horan T C, Furuya E Y, Larson E. Staffing and structure of infection prevention and control programs. Am J Infect Control. 2009; 37(5):351-57.
มุจรินทร์ แจ่มแสงทอง, วันชัย เลิศวัฒนวิลาศ, อะเคื้อ อุณหเลขกะ. การดำเนินการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อแบคทีเรียดื้อยาหลายขนานของโรงพยาบาลศูนย์. พยาบาลสาร. 2562;46(2):83-94.
โรงพยาบาลโพนทอง. รายงานผลการดำเนินตามยุทธ์ศาสตร์. ร้อยเอ็ด: โรงพยาบาลโพนทอง; 2565.
ณิรดา รวยอาจิณ, ทองเปลว ชมจันทร์, ประภาพรรณ สิงห์โต. ผลลัพธ์ของการใช้แนวปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพที่ต้องควบคุมเป็นกรณีพิเศษ. Singburi Hospital Journal. 2565;31(1):27-40.
ชุติกาญจน์ หฤทัย. เกณฑ์คุณภาพการปฏิบัติการพยาบาลที่เป็นเลิศ. นนทบุรี: สำนักการพยาบาล กรมการแพทย์; 2549.
ประจวบ ทองเจริญ, วันชัย มุ้งตุ้ย, อะเคื้อ อุณหเลขกะ. ผลของการใช้กลวิธีหลากหลายต่อการปฏิบัติของบุคลากรสุขภาพในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาหลายขนาน. วารสารการพยาบาล. 2559;42(1):61-73.
นาตยา ปริกัมศีล, ศุภา เพ็งเลา, สมใจ สายสม. ผลของการใช้โปรแกรมการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาควบคุมพิเศษต่อความรู้และการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ควบคุมพิเศษของบุคลากรสุขภาพผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาลโพธาราม. วารสารหัวหินสุขใจไกลกังวล. 2561;3(2):49-57.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
เวอร์ชัน
- 2025-01-29 (3)
- 2025-01-29 (2)
- 2025-01-29 (1)
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง