ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของวัณโรคปอดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่มารักษาที่โรงพยาบาลหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

ผู้แต่ง

  • ธำรง งามอุรุเลิศ โรงพยาบาลหนองหาน

คำสำคัญ:

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์, วัณโรคปอด, ผู้ป่วยเบาหวาน

บทคัดย่อ

วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของวัณโรคปอดในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มาขึ้นทะเบียนรับรักษาที่โรงพยาบาลหนองหาน จังหวัดอุดรธานี

รูปแบบการวิจัย: การศึกษาแบบภาคตัดขวาง

วัสดุและวิธีการวิจัย: ศึกษาข้อมูลของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นวัณโรคปอด ที่เข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาลหนองหาน ในปีงบประมาณ พ.ศ.2559 ถึงปีงบประมาณ พ.ศ.2561 (1 ตุลาคม 2558 ถึง 30 กันยายน 2561) จำนวน 91 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนรายงานของโรงพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานสำหรับการหาความสัมพันธ์ด้วย Chi-square test และ Fisher exact test  ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05

ผลการวิจัย: พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 91 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาย จำนวน 47 ราย (52.7%) อายุมากกว่า 60 ปี จำนวน 50 ราย (54.9%)  เฉลี่ย 61 ปี (SD = 11.53) ไม่สูบบุหรี่ จำนวน 74 ราย (81.%) ระดับ HbA1c (%)≥ 7 จำนวน 61 ราย (67.0%) ผลการตรวจพบเชื้อวัณโรคในเสมหะ (AFB Positive Sputum) จำนวน 29 ราย (68.1%) ผลเอกซเรย์ปอดไม่พบลักษณะเป็นแผลโพรงในปอด (Cavitary lesion) จำนวน 67 ราย (73.1%) และผลการตรวจเสมหะหลังการรักษา 2 เดือนไม่พบเชื้อ  จำนวน 88 ราย (96.7%)  อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเรื่อง เพศ อายุ  และประวัติการสูบบุหรี่ ไม่พบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการตรวจพบเชื้อวัณโรคในเสมหะ, ลักษณะเป็นแผลโพรงในปอด และผลการตรวจเสมหะหลังการรักษา 2 เดือน  แต่พบว่า ระดับ HbA1c (%) มีความสัมพันธ์กับผลการตรวจพบเชื้อวัณโรคในเสมหะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p =.034) และไม่พบความสัมพันธ์กับการเป็นแผลโพรงในปอด และ ผลการตรวจพบเชื้อวัณโรคในเสมหะหลังจากรักษา 2 เดือน

สรุปและข้อเสนอแนะ:     การศึกษาครั้งนี้ พบผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นวัณโรคปอดที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือมีระดับ Hb A1c > 7% มีความเสี่ยงที่จะตรวจพบเชื้อวัณโรคในเสมหะ ซึ่งมีโอกาสแพร่กระจายโรคสู่ชุมชนได้ ดังนั้น การคัดกรองวัณโรคปอดในผู้ป่วยกลุ่มนี้ จึงมีความสำคัญในแง่ของการลดอัตราการแพร่กระจายเชื้อในชุมชนอีกด้วย

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2020-02-28