การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม

ผู้แต่ง

  • สุวคนธ์ เหล่าราช โรงพยาบาลนาดูน จ.มหาสารคาม
  • ละออง เดิมทำรัมย์ โรงพยาบาลนาดูน จ.มหาสารคาม

คำสำคัญ:

รูปแบบการดูแล, การมีส่วนร่วม, โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3

บทคัดย่อ

วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่3 ในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม

รูปการการวิจัย:  การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)

วัสดุและวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ผู้ดูแลผู้ป่วยทีมสหวิชาชีพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ผู้นำชุมชน รวม 170 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบทดสอบความรู้  แบบสอบถามความพึงพอใจ  และแบบสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่  ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  paired t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา

 ผลการวิจัย: 1) ระยะวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่า การประสานการดูแลผู้ป่วยในชุมชนอย่างต่อเนื่องยังไม่เป็นระบบที่ชัดเจน การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามีน้อย ผู้ป่วยผู้ดูแล อสม. ผู้นำชุมชน   ขาดความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง  อัตราการกรองของไต เฉลี่ย 46.91 มล./นาที/1.73ตร.ม. 2) ระยะพัฒนารูปแบบ โดยการประชุมทีมสหวิชาชีพปรับปรุงแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง  พัฒนาศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข ผู้ป่วย ผู้ดูแล อสม.และผู้นำชุมชน เรื่องโรคไตเรื้อรัง และประชุมเชิงปฏิบัติการใช้รูปแบบ 1ค+2อ+1ส. คือ1ค.(ความรู้) โรคไตเรื้อรัง+2อ. (อาหาร  ออกกำลังกาย)+1ส (สมาธิบำบัด SKT)  3)ระยะทดลองใช้รูปแบบ นำรูปแบบไปใช้ในคลินิกโรคไตเรื้อรัง และพัฒนาระบบบริการที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 4)ระยะประเมินผล พบว่า ผู้ป่วยมีอัตราการกรองของไตเพิ่มจากค่าเฉลี่ย eGFR 46.91 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็น 54.57 มล./นาที/1.73 ตร.ม. ทีมสหวิชาชีพและผู้ดูแลมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด  และหลังการฝึกอบรม  บุคลากรสาธารณสุขผู้ดูแลและ อสม./ผู้นำชุมชนมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคไตเรื้อรังเพิ่มขึ้น (p< .001)

สรุปและข้อเสนอแนะ: ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีอัตราการกรองไตและมีความรู้เพิ่มขึ้น

References

ประเสริฐ ธนกิจจารุ. สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย. วารสารกรมการแพทย์ 2558; 5(5): 17.

กองการแพทย์ทางเลือก กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข. คู่มืออาหารบำบัดโรคไตเสื่อม. 2563; 6-9. 3. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ. คนไทยป่วยโรคไตติดอันดับ

ของอาเซียน [อินเทอร์เน็ต] .กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ; 2561. [เข้าถึงเมื่อ 18 พฤษภาคม 2562]. เข้าถึงได้จาก: http://www.thaihealth.or.th/Content/30963.html.

จุฑามาศ วารีแสงทิพย์. การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายด้วยธรรมปฎิบัติ. กรุงเทพฯ: เอมี่เอ็นเตอร์ไพรส์; 2553.

คัทลียา อุคติ, ณัฐนิช จันทจิรโกวิท. ความสามารถในการดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่รักษาด้วยวิธีการขจัดของเสียทางเยื่อบุช่องท้องต่อเนื่อง. สงขลานครินทร์เวชสาร2550; 25(3): 171-7

สุนีรัตน์ สิงห์คำ. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในชุมชน โดยการเสริมสร้างพลังภาคีเครือข่ายแบบมีส่วนร่วม. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2559; 13(3): 92-9.

Domrongkitchaiporn S, Sritara P,Kitiyakara C. Risk factors for development of decreased kidney function in a Southeast Asian population: a 12-year cohort study. J Am Soc Nephrol 2005; 16(3): 791–9.

Guntachuvessiri S, Pothishat S, ngowsiri J. Guideline screening and treatment of diabetes and hypertension in kidney disease patients (1st Edition). Bangkok. Thailand Healthy Strategic Management Office .The Agricultural co- perative Rederation of Thailand, LTD. 2012.

สุนีรัตน์ สิงห์คำ.การเสริมสร้างพลังภาคีเครือข่ายของผู้ดูแลโรคไตเรื้อรัง. วารสารโรงพยาบาลมหาสารคาม 2562; 16(3),149-58.

แพรวทิพฑ์ สุธีรประเสริฐ ,วราทิพย์ แก่นการ. ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเพื่อชะลอโรคไตเรื้อรังในชุมชนเมือง จังหวัดขอนแก่น.วารสารการพยาบาลและการดูแลสุขภาพ 2561; 36(4): 43-51.

วิภาพร สิทธิสาตร์, ภูดิท เตชาติวัฒน์, นิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์, ศันสนีย์ เมฆรุ่งเรืองวงศ์.ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขชุมชนในการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ 2558; 9(1): 25-31.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2021-01-31