ผลการพัฒนารูปแบบศูนย์สุขภาพดีวัยทำงานเพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในสถานประกอบการขนาดใหญ่ เขตสุขภาพที่ 7

ผู้แต่ง

  • กังสดาล สุวรรณรงค์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
  • ปวีณา จังภูเขียว สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
  • เชิดพงษ์ มงคลสินธุ์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
  • ชุติมา วัชรกุล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
  • ธมลวรรณ จันเต สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น
  • พิรวรรณ วังอุปัดชา สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น

คำสำคัญ:

ศูนย์สุขภาพดีวัยทำงาน, พนักงานกลุ่มเสี่ยง, โรคไม่ติดต่อ, สถานประกอบการขนาดใหญ่, เขตสุขภาพที่ 7

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบศูนย์สุขภาพดีวัยทำงานเพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในสถานประกอบการขนาดใหญ่ เขตสุขภาพที่ 7 กลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มเสี่ยงจากพนักงานในสถานประกอบการขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่แผนกบุคคลและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ผู้รับผิดชอบงานอาชีวอนามัยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ผู้รับผิดชอบงานอาชีวเวชกรรมจากโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชน เขตสุขภาพที่ 7 ดำเนินการ 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบ ระยะที่ 3 การใช้รูปแบบระยะที่ 4 การประเมินผล ระหว่างเดือนเมษายน 2566 ถึงกันยายน 2567 เก็บข้อมูลด้วยวิธีการเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือใช้แบบสนทนากลุ่ม แนวทางศูนย์สุขภาพดีวัยทำงานในสถานประกอบการ และแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติ Paired samples t-test และวิเคราะห์เชิงเนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการศึกษา ระยะที่ 1 จากการวิเคราะห์สถานการณ์ พบว่า พนักงานกว่าร้อยละ 50 มีภาวะเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อและพบช่องว่างสำคัญในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพ ได้แก่ การคืนผลการตรวจสุขภาพไม่ชัดเจน การขาดการดำเนินงานเชิงรุกอย่างเป็นระบบ การพัฒนารูปแบบศูนย์สุขภาพดีวัยทำงาน ในระยะที่ 2 ประยุกต์โปรแกรมสุขศึกษาที่มีอยู่และเพิ่มเติมเนื้อหาเฉพาะที่ตอบสนองช่องว่างที่พบในระยะที่ 1 อาทิ การสร้างความเชื่อมั่นในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แปลผลการตรวจสุขภาพและการสนับสนุนโดยพยาบาลประจำสถานประกอบการ ระยะที่ 3 การนำรูปแบบไปใช้กับพนักงานกลุ่มเสี่ยง จำนวน 53 คน (ร้อยละ 80.3) สะท้อนความเหมาะสมของโปรแกรม ระยะที่ 4 การประเมินผล พบว่าโปรแกรมสามารถเพิ่มคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนเพิ่มขึ้น 4.81 คะแนน (p <0.001) โดยเฉพาะด้านการเข้าถึงข้อมูลและการสื่อสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด ข้อเสนอแนะจากการวิจัย สถานประกอบการขนาดใหญ่ควรสนับสนุนให้พยาบาลประจำสถานประกอบการทำหน้าที่ในการเฝ้าระวัง และติดตามประเมินสภาวะสุขภาพของพนักงานกลุ่มเสี่ยง การวิจัยครั้งต่อไปควรติดตามผลระยะยาว และประเมินประสิทธิผลในสถานประกอบการขนาดกลางและเล็ก

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงแรงงาน. สถิติแรงงานประจำปี 2565. กรุงเทพฯ: กองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน; 2566.

World Health Organization. Assessing national capacity for the prevention and control of noncommunicable diseases: report on 2023 global survey. Geneva: World Health Organization; 2023.

พัชรินทร์ มณีพงศ์, วลัยพร สิงห์จุ้ย, สัญญา สุขขำ, เพ็ชรน้อย ศรีผุดผ่อง. ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพ 3อ 2ส ของประชาชนจังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี 2563; 4(1): 84-93.

เริงฤดี ปธานวนิช, บรรณาธิการ. การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568. นนทบุรี: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล; 2568.

กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค. รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2563.

สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น. สถานการณ์โรคเบาหวานในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 7 [อินเทอร์เน็ต]. 2567 [เข้าถึงเมื่อ 14 พ.ย. 2567]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/odpc7/news.php?news=47616&deptcode=odpc7&news_views=575.

ศูนย์พัฒนาวิชาการอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม จังหวัดสมุทรปราการ. แนวทางการดำเนินงานศูนย์สุขภาพดีคนทำงานองค์รวม. นนทบุรี: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2565.

Gernert M, Stassen G, Schaller A. Association between health literacy and work ability in employees with health-related risk factors: a structural model. Front Public Health. 2022; 10: 804390. doi: 10.3389/fpubh.2022.804390.

Nutbeam D, McGill B, Premkumar P. Improving health literacy in community populations: a review of progress. Health Promot Int 2018; 33(5): 901-11. doi: 10.1093/heapro/dax015.

Sorensen K, Van den Broucke S, Fullam J, Doyle G, Pelikan J, Slonska Z, et al. Health literacy and public health: a systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health 2012; 12(1): 80. doi: 10.1186/1471-2458-12-80.

กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการดูแลสุขภาพตามหลัก 3อ.2ส. สำหรับแกนนำสุขภาพ [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ; ม.ป.ป. [เข้าถึงเมื่อ 10 ม.ค. 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://hed.hss.moph.go.th/wp-content/uploads/2024/05/คู่มือการดูแลสุขภาพตามหลัก-3อ.2ส.-สำหรับแกนนำสุขภาพ.pdf.

Suka M, Odajima T, Okamoto M, Sumitani M, Igarashi A, Ishikawa H, et al. Relationship between health literacy, health information access, health behavior, and health status in Japanese people. Patient Educ Couns 2015; 98(5): 660-8. doi: 10.1016/j.pec.2015.02.013.

Nutbeam D. Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health Promot Int 2000; 15(3): 259-67. doi: 10.1093/heapro/15.3.259.

Parker R. Health literacy: a challenge for American patients and their health care providers. Health Promot Int 2000; 15(4): 277-83. doi: 10.1093/heapro/15.4.277.

Chang LC. Health literacy, self‐reported status and health promoting behaviours for adolescents in Taiwan. J Clin Nurs 2011; 20(1-2): 190-6. doi: 10.1111/j.1365-2702.2009.03181.x.

Berkman ND, Sheridan SL, Donahue KE, Halpern DJ, Crotty K. Low health literacy and health outcomes: an updated systematic review. Ann Intern Med 2011; 155(2): 97-107. doi: 10.7326/0003-4819-155-2-201107190-00005.

วิมล โรมา, สายชล คล้อยเอี่ยม. ผลสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป พ.ศ. 2562. นนทบุรี: สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2562.

พรภัทรา แสนเหลา, ศรีอุบล อินแป้น, สายนาถ หวานนุรักษ์, ณัฐกฤตา ลีเบาะ. ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมตามหลัก 3อ.2ส. ของผู้ป่วยโรคเบาหวานวัยผู้ใหญ่ ตำบลนาฝาย อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ. วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 2568; 7(1): e269948.

McCambridge J, Witton J, Elbourne DR. Systematic review of the Hawthorne effect: New concepts are needed to study research participation effects. J Clin Epidemiol 2014; 67(3): 267-77. doi: 10.1016/j.jclinepi.2013.08.015.

ศุภวรรณ พงศ์ทอง. ประสิทธิผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในหมู่บ้านจัดการสุขภาพตำบลแก้มอ้น อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี. วารสารสหวิชาการเพื่อสุขภาพ 2566; 5(2): 35-43.

ณัทณพงศ์ พีรภัคพงศ์, ประสิทธิ์ กมลพรมงคล. การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. ของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในสถานประกอบการ จังหวัดชลบุรี. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ 2567; 17(3): 213-25.

จุฑามาศ ปุญญปุระ. การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของพนักงานโรงงานในจังหวัดนครสวรรค์. วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) 2567; 34(2): 4-11.

Knowles MS. The Adult Learner: A Neglected Species. 3rd ed. Houston: Gulf Publishing; 1984.

Prochaska JO, Norcross JC, Diclemente CC. Changing for Good: a Revolutionary Six-Stage Program for Overcoming Bad Habits and Moving Your Life Positively Forward. New York: Harper Collins Publishers; 2006.

พรสวรรค์ ทรัพย์เย็น. ผลของการใช้โปรแกรมสุขศึกษาเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตาม 3อ.2ส. ในผู้ป่วยโรคเอดส์ที่คลินิกรับยาต้านไวรัสเอดส์ โรงพยาบาลบ้านโป่ง. วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต 2565; 2(1): 1-12.

Bandura A. Social learning theory. Englewood Cliffs, NJ: Prentice Hall; 1977. p77.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-12-26

รูปแบบการอ้างอิง

1.
สุวรรณรงค์ ก, จังภูเขียว ป, มงคลสินธุ์ เ, วัชรกุล ช, จันเต ธ, วังอุปัดชา พ. ผลการพัฒนารูปแบบศูนย์สุขภาพดีวัยทำงานเพื่อดูแลสุขภาพของพนักงานกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ในสถานประกอบการขนาดใหญ่ เขตสุขภาพที่ 7. J Offic Dis Prev Control 7 [อินเทอร์เน็ต]. 26 ธันวาคม 2025 [อ้างถึง 31 ธันวาคม 2025];32(3):135-50. available at: https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jdpc7kk/article/view/283911

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย