วิทยาการระบาดผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม
คำสำคัญ:
วิทยาการระบาด, โรคพิษสุนัขบ้า, ยางสีสุราชบทคัดย่อ
การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Descriptive Study) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิทยาการระบาดของผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม เก็บรวบรวมข้อมูลโดยคัดลอกข้อมูลจากรายงานการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (ร.36) ของผู้สัมผัสโรค พิษสุนัขบ้า จำนวน 773 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และค่าเฉลี่ย
ผลการศึกษาพบว่า ผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้ารับวัคซีนครบตามเกณฑ์ ร้อยละ 79.30 โดยพบเพศชาย ร้อยละ 51.23 มีอายุ 5-14 ปี ร้อยละ 19.15 สถานภาพสมรส/คู่ ร้อยละ 54.72 ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 48.12 อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลยางสีสุราช สัมผัสโรคมากที่สุดในเดือนเมษายน สิทธิการรักษาหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ร้อยละ 93.53 ถูกสัมผัสที่บริเวณขา ลักษณะบาดแผลมีเลือดออก สัมผัสโรคโดยถูกกัด ร้อยละ 90.82 สุนัขเป็นสัตว์นำโรค ร้อยละ 81.37 มีอายุมากกว่า 1 ปี เป็นสัตว์ที่มีเจ้าของ สามารถกักขังได้/ติดตามได้ และไม่ตายภายใน 10 วัน ไม่ทราบประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า สาเหตุการถูกสัมผัสโดยมีสาเหตุโน้มนำ ร้อยละ 60.54 และไม่มีการส่งหัวสัตว์ตรวจ ร้อยละ 100 มีการล้างแผลก่อนพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร้อยละ 78.78 ซึ่งล้างด้วยน้ำและสบู่/ผงซักฟอก ร้อยละ 80.79 ไม่ได้ใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร้อยละ 69.34 ไม่เคยฉีดหรือเคยฉีดน้อยกว่า 3 เข็ม ส่วนใหญ่ไม่ได้ฉีดอิมมูโนโกลบุลิน(RIG) ร้อยละ 98.97 ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ชนิด PCEC ร้อยละ 100 ส่วนใหญ่โดยวิธี เข้าในผิวหนัง และไม่มีอาการแพ้หลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
จากการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าครบตามเกณฑ์ แต่ยังมีบางส่วนที่รับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ ดังนั้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรมีการสื่อสารให้ความรู้เน้นการป้องกันไม่ให้ถูกสัตว์กัด ด้วยคาถา 5 ย การปฏิบัติตัวเมื่อถูกสัตว์กัด ข้อดีข้อเสียของการรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และควรพัฒนาระบบการติดตามการรับวัคซีน เพื่อป้องกันการลืมนัดของผู้สัมผัสโรค และลดปัญหาการฉีดวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์ต่อไป
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
ความรับผิดชอบ
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย และวิเคราะห์ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารสำนักงาน ป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น หรือ ของกองบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
ลิขสิทธ์บทความ
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักงานป้องกันตวบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น