ประสิทธิภาพของการค้นหามะเร็งท่อน้ำดีของประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ตามโครงการแก้ไขปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ผู้แต่ง

  • นิสสา อาชวชาลี Phonthong hospital, Roi-et

คำสำคัญ:

มะเร็งท่อน้ำดี, อัลตราซาวด์

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบไปข้างหน้ามีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีของประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง จำนวน 1,000 รายในพื้นที่เขตอำเภอ  โพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ตามโครงการCASCAP  ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วย 20 ราย (ร้อยละ 2) ที่ได้รับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพิ่มเติมเนื่องจากสงสัยความผิดปกติจากการคัดกรองด้วยอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน 10 ราย ใน20 ราย ที่สงสัยความผิดปกติจากการตรวจอัลตร้าซาวด์ ตรวจพบความผิดปกติที่สงสัยมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ 1 ราย มีผลลบลวงจากการตรวจคัดกรอง ค่าพยากรณ์บวก คิดเป็นร้อยละ 50 ตรวจพบมะเร็งชนิดต่างๆร้อยละ 1ความชุกของโรคมะเร็งในช่องท้องร้อยละ 1.1 ความไวและความจำเพาะคิดเป็นร้อยละ 90.91 และ 98.99 ตามลำดับ มีผู้ป่วยที่สงสัย Cholangiocarcinoma รวมทั้งสิ้น 8 ราย (มีผู้ป่วยที่ติดตามการรักษาเนื่องจากสงสัย Early Cholangiocarcinoma 2 ราย และ ผู้ป่วยปฏิเสธการส่งต่อเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม1 ราย) และ 4 ใน 5 รายที่เหลือ หรือ ร้อยละ 80 เป็น Curative Resectable Stageการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีของประชากรกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เขตอำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด ตามโครงการ CASCAPมีประสิทธิภาพดีเนื่องจากมีค่าความไวค่อนข้างสูง อีกทั้งสามารถทำให้พบรอยโรคก่อนเป็นมะเร็งและมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้นส่งผลให้ผลการรักษาของผู้ป่วยดีขึ้น

References

1. Tyson GL, EI-Serag HB. Risk factors for chol2.angiocarcinoma.Hepatology 2011;54(1):174-84.

2. Charbel H, Al-Kawas FH. Cholangiocarcinoma:epidemiology, risk factors, pathogenesis, anddiagnosis. Curr Gastroenterol Rep 2011;24(2):182-7.

3. Shaib Y, El-Serag HB. The epidemiology ofcholangiocarcinoma. Semin Liver Dis 2004;24(2):115-25.

4. SripaB,PairojkulC.Cholangiocarcinoma:lessonsfrom Thailand. Curr Opin Gastroenterol 2008;24(3):349-56.

5. Attarasa P, Sriphung H. Cancer incidence inThailand. Bangkok: Ministry of Public Health,Ministry of Education; 2004-2006.

6. Khuntikao N. Current cocept in manangement of cholangiocarcinoma:SrinagarindMedicalJournal 2005 ;20(3):1-7.

7. YeoCJ, PittHA,CameronJL.Cholangiocarcinoma. Surg Clin North Am 1990; 70:1429-47.

8. Yazici C, Niemeyer DJ, lannitti DA, Russo MW. Hepatocellular carcinoma and cholangiocarcinoma: an update. Expert Rev Gastroenterol Hepatol
2014;8(1):63-82.

9. Rizvi S, Gores GJ. Pathogenesis, diagnosis, and management of cholangiocarcinoma. Gastroenterology 2013 ;145(6):1215-29.

10. SungkasubunP,SiripongsakunS,Akkarachinorate K, Vidhyarkorn S, Worakitsitisatorn A,Sricharunrat T, et al. Ultrasound screening forcholangiocarcinoma could detect premalignantlesions and early-stage diseases with survivalbenefts. BMC Cancer 2016;16:346.

11. Chamadol N, Pairojkul C, Khuntikeo N,Laopaiboon V, Loilome W, Sithithaworn P.Histology confrmation of periductal fbrosis fromultrasound diagnosis in cholangiocarcinomapatients. Japanese Society of Hepato-BiliaryPancreatic Surgery 2014;21:316-22.

12. Mizuma Y, Watanabe Y, Ozasa K, Hayashi K,Kawai K. Validity of sonographic screening for the detection of abdominal cancers. J clin Ultras
2002; 30(7):408-15.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2018-11-20