The study of comparison of Health Literacy and Health Behavior among the risk groups of diabetes and hypertension in urban and rural area, Uttaradit.

Main Article Content

Prakarn Khemkhaeng
Nantaya Onkong
Maneerat Wongpum

Abstract

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพ(Health Literacy) และพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. (ออกกําลังกาย การบริโภคอาหาร,การจัดการความเครียดทางอารมณ์ การสูบบุหรี่ และการดื่มสุรา)ของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในเขตเมืองและเขตชนบท จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อนําข้อมูลไปใช้ในการกําหนดกลยุทธ์การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในการป้องกันควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดําเนินการศึกษาโดยรวบรวม ข้อมูลจากประชาชนอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่เป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง จากระบบการคัดกรอง ในปีงบประมาณ 2557 ทั้ง 9 อําเภอ โดยใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling) ในเขตชุมชนเมือง เขตเทศบาล) และเขตชนบท จํานวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณา คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ ได้แก่ Independent t-test, chi-square


ผลการศึกษาเปรียบเทียบ ความรอบรู้ด้านสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในเขตเมืองและ เขตชนบท พบว่า ความรู้และความเข้าใจพื้นฐานฯ มีความแตกต่างทางสถิติ ค่า p-value = ๐.๐๐ (p < 0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 7.0 ในเขตชนบท ซึ่งสูงกว่าเขตเมือง คือ 6.3 (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) และด้านการเข้า ร่วมกิจกรรมสุขภาพทางสังคมฯ ของกลุ่มเสี่ยงฯของเขตเมืองและเขตชนบท ไม่มีความแตกต่างกัน ค่า p-value =0.2 (p < 0.05) โดยพบว่าค่าเฉลี่ยในเขตชนบทสูงกว่าเขตเมือง คือ 10.6 และ 9.7 ตามลําดับ(คะแนนเต็ม 20 คะแนน) และพบว่ากลุ่มเสี่ยงมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพผ่านเกณฑ์ที่กําหนด ร้อยละ 73 โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 70.1 และมีขั้นความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผ่านเกณฑ์ในระดับสูงทั้ง 3 ด้าน คือ ขั้นสื่อสารปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ร้อยละ 70.5 ขั้นการคิดวิจารณญาณหรือวิพากษ์ ร้อยละ 70.5 และขั้นพื้นฐาน (เป็นผู้มีทักษะทางปัญญาด้านสุขภาพ) ร้อยละ53 และแยกรายองค์ประกอบของความรอบรู้ด้านสุขภาพ พบว่า อยู่ในระดับสูง ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจ พื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักพฤติกรรม 3อ.2ส. ซึ่งกลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่อยู่ในระดับความรู้สูง ร้อยละ 60 และอยู่ในระดับพอใช้ ได้แก่ ด้านทักษะการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ ด้านทักษะการจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของ ตนเอง, ด้านทักษะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ และด้านทักษะการตัดสินใจและเลือกที่ถูกต้อง และยังพบว่าทักษะการสื่อสารเพิ่มความเชี่ยวชาญทางสุขภาพอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอ สําหรับด้านพฤติกรรมสุขภาพ ด้านการปฏิบัติตัวตามหลัก 3อ. ส. กลุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 77.1 ซึ่งระดับพฤติกรรมสุขภาพ 3อ.2ส. อยู่ในระดับพอใช้ ร้อยละ 67.3 รองลงมามีทักษะการปฏิบัติตัวฯ ในระดับไม่เพียงพอ ร้อยละ 23.0 ซึ่งจากการศึกษา ครั้งนี้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ควรมีการประเมินวัดความรอบรู้ทางสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง เพื่อใช้ในการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารสุขภาพเพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ในค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เกิดประสิทธิผล และใช้กระบวนการส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพ เป็นกลยุทธ์หลักสําคัญเริ่มต้นในแผนงานแก้ไขปัญหาสาธารณสุข ตามกลุ่มวัยและโรคที่เป็นปัญหาตาม แผนพัฒนา ระบบบริการสุขภาพ 

Article Details

How to Cite
Khemkhaeng, P. ., Onkong, N. ., & Wongpum, M. . (2016). The study of comparison of Health Literacy and Health Behavior among the risk groups of diabetes and hypertension in urban and rural area, Uttaradit. Journal of Disease Prevention and Control : DPC. 2 Phitsanulok, 4(1), 22. retrieved from https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/252075
Section
บทความวิชาการทั่วไป

References

1.วิชัย เอกพลากร,เยาวรัตน์ ปรปักษ์ขาม,สุรศักดิ์ ฐานี พานิชสกุล,หทัยชนก พรรคเจริญ. การสำรวจสุขภาพประชาชน'ไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2. นนทบุรี: เดอะ กราฟิโก ซิสเต็มส์ จำกัด.หน้า 1-5,17.

2. สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. ฐานข้อมูล 21 แข้ม. (วันที่คันข้อมูล 10 สิงหาคม 2557). เข้าถึงได้จาก : http:/www.thaincd.com/information-tatistic/brfss-data.php.

3. ขวัญเมือง แก้วคำเกิง,นฤมล ตรีเพชรศรีอุไร.ความฉลาดทางสุขภาพ.กองสุขศึกยา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข.กรุงเทพฯนิวธรรมดาการพิมพ์: 2554.

4. Nutbeam, D. Health Literacy as a public health goal: a challenge for contemporary Health education and communication strategies into health 21"century. Health Promotion International. 2000.15(8).

5. เบญจมาศ สุรมิตร ไมตรี. การศึกษาความฉลาดทางสุขภาพ (Health Literacy) และสถานการณ์การดำเนินงานสร้างเสริมความจลาดทางสุขภาพของคนไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน. 2556.

6.ปุระชัยเปี่ยมสมบูรณ์. ระเบียบวิธีวิจัยทางวิทยาศาสตร์สังคม : การสังคราะห์และบูรณาการ. 2529 ปรับมาจาก Krejcie, R.V.and Morgan D.W. " Determnining SampleSize for Research Activities. " Psycholological measurment . 1970 : 607-610,อ้างถึงในสุจิตรา บณยรัตพันธุ์. ระเบียบวิธีวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์. 2534 :
176-177.
7.จุฑามณี กันกรุง, ไพลิน เขียวอินทร์, สุนรี แซ่เถาและ จิตศิริน ลายลักษณ์. การศึกมาความฉลาดทางสุข
ภาวะของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม. 2557.
8.อังศินันท์ อินทรกำแหง.การสังเคราะห์และการพัฒนาดัชนีวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพของคนไทยอายุ เรปีขึ้น
ไป ในการส่ งเสริมค้ำานอาหาร ออกกำลังกาย จัดการอารมณ์ งดสุราและสูบบุหรี่. 2556 (วันที่คันข้อมูล 26
กันยายน 2558). เข้าถึงได้จาก: http:/sris.swu.ac.th/upload/158.pdf.
9.กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข. การศึกษาสถานการณ์ความ
รอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน/ความดันโลหิตสูง. 2556; 1-102.
10.อังศินันท์ อินทรกำแหง. ความแตกฉานด้านสุขภาพของคนไทยอายุ เร ปีขึ้น ไป ในการปฏิบัติดาม
หลัก 30 2ส (ABCDE-Health Literacy Scale of ThaiAdults). 2557.