วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs <p>วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรคสคร.2 เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดย สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 พิษณุโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วิทยาการเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ขอบเขตรวมโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ<em><strong>ต้องผ่านEC</strong></em> และการสอบสวนโรค งานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 จะต้องไม่เคยเผยแพร่ ตีพิมพ์หรือกำลังรอพิมพ์ในวารสารอื่น <a href="https://www.youtube.com/watch?v=9yaF84unBa4&amp;list=PLOrQT_hNaT1zyaEPwfbN5WdUbOQL_lQ0X">วิธีส่งบทความ </a></p> <ul> <li class="show"> <p><strong>แจ้งเปลี่ยนแปลงการเผยแพร่บทความวิชาการ เป็นวารสารออนไลน์</strong></p> <p>เปลี่ยนแปลงการเผยแพร่บทความวิชาการ เป็นวารสารออนไลน์เท่านั้น ไม่มีการพิมพ์เล่ม โดยสามารถสืบค้นบทความวิชาการได้จากเวปไซต์ มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป</p> </li> </ul> สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก th-TH วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก 2672-975X <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ข้อลิขสิทธิ์วารสาร </span></span></p> <p>บทความหรือข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฏในวารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร. 2 พิษณุโลก เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน กองบรรณาธิการวิชาการ และ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลกไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยทั้งหมดหรือร่วมรับผืิดชอบใดๆ หากพบว่าบทความของท่านมีการคัดลอกผลงานทางวิชาการ (plagiarism) มากกว่า 25 เปอร์เซ็นวารสารขอปฏิเสธการตีพิมพ์เผยแพร่ทุกกรณี <a href="https://drive.google.com/file/d/1WtZAokFtImd6fFSHWQ4ewQ6ODmBtX4TJ/view">วิธีตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการ (plagiarism) </a></p> การพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ โดยการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดฉะเชิงเทรา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/270255 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของ อสม. เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบมีระบบหลายขั้นตอน กลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม คือ อสม. จำนวน 385 คน ผู้สูงอายุในชุมชน จำนวน 385 คน และบุคลากรด้านสุขภาพ จำนวน 15 คน กระบวนการพัฒนาประกอบด้วย 1) ขั้นเตรียมการ 2) ขั้นดำเนินการ และ 3) ขั้นประเมินผล เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการพัฒนารูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพและความรู้ของ อสม. ซึ่งผ่านการทดสอบความตรงเชิงเนื้อหาและมีค่าความเชื่อมั่นแอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.74 และมีค่าความเชื่อมั่น (KR-20) เท่ากับ 0.75 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนการพัฒนาและหลังการพัฒนาด้วยสถิติ Paired t-test ระยะเวลาในการทำวิจัย กันยายน 2566 -มีนาคม 2567</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของ อสม. ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1) การวิเคราะห์สถานการณ์ชุมชน ร่วมวางแผนและกำหนดบทบาทหน้าที่ของทีมสุขภาพ 2) การพัฒนาศักยภาพ อสม.ตามแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของกรมอนามัย 3) การดูแลป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยทีมสุขภาพชุมชน (Stroke Care Team) โดยการมีส่วนร่วมของ อสม. 4) การคืนข้อมูลและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลและป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในชุมชน เมื่อสิ้นสุดการพัฒนารูปแบบ พบว่า อสม. มีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง สูงกว่าก่อนการพัฒนารูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ <em>(</em><em>p &lt; .05) </em> และพบว่าบุคลากรทางด้านสุขภาพและผู้สูงอายุในชุมชน มีความพึงพอใจของต่อรูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของ อสม. อยู่ในระดับมากที่สุดและมาก ตามลำดับ รูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของ อสม. เป็นรูปแบบที่ดีสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ซึ่งจะเห็นผลลัพธ์ในการลดอัตราป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ต่อไป</p> สมบัติ ทั่งทอง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 110 110 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของผู้สูงอายุ จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/266161 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของผู้สูงอายุ จังหวัดอุดรธานี ประชากรคือผู้สูงอายุที่มีรายชื่อในทะเบียนบ้าน เขตอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 62,252 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 200 คน ใช้สูตรคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ทราบจำนวนประชากรของ อรุณ จิรวัฒน์กุล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด และวิธีวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติคเชิงพหุคูณ กำหนดค่าความเชื่อมั่น 95% (p-value &lt;0.05) ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับดี ร้อยละ 86.0 และพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) อยู่ในระดับดี ร้อยละ 77.5 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ของผู้สูงอายุ จังหวัดอุดรธานี พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (OR<sub>adj</sub> =2.55, 95% CI=1.08-5.99) ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพให้ผู้สูงอายุ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จะส่งผลให้มีให้ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ที่ดีถูกต้องเหมาะสม และโรคระบาดอื่นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต</p> กมลฉัตร สุขแสน อัจฉรา จินวงษ์ อนวัช ภูทองนาค Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 1 1 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นผู้สูงอายุ ในอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/267128 <p>การวิจัยแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นผู้สูงอายุ ในอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงอายุ จำนวน 364 คน คัดเลือกสุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณหลายขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นผู้สูงอายุในระดับปานกลาง (ร้อยละ 68.11) ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เป็นผู้สูงอายุในอำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ พบว่า ตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 4 ตัวแปร ได้แก่ อาชีพ (β = -0.14) ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง (β = 0.39) การรับรู้อุปสรรคต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง (β = 0.13) และแรงสนับสนุนทางสังคม (β = 0.16) ตามลำดับ ร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 26.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ชนกนันท์ ฝากมิตร ตวงพร พิกุลทอง อดิเทพ ดารดาษ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 15 15 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อ โรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ในเขตพื้นที่ตำบลลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/267617 <p>การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบภาคตัดขวางเพื่อหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในพื้นที่ตำบลลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 จำนวน 276 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2566 – 30 มิถุนายน 2566. การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยวิธี Enter</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 69.20 มีอายุเฉลี่ย 51.80 ปี. ร้อยละ 73.60% มีอาการหลงเหลือ อาการเมื่อยล้าพบมากที่สุด ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Beta =0.288) ด้านการรับรู้ถึงอุปสรรค (Beta=0.177) ด้านการรับรู้ความสามารถของตนเอง(Beta =0.241) ด้านความรู้สึกที่มีต่อพฤติกรรม(Beta =-0.118) และด้านอิทธิพลระหว่างบุคคล (Beta =0.229 ตัวแปรทั้งหมดนี้สามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 ได้ ร้อยละ 57.60. ผลที่ได้ควรนำไปประยุกต์ในการจัดโปรแกรมการสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยภายหลังการติดเชื้อโรคโควิด-19 ในพื้นที่ศึกษาต่อไป</p> รสกมล บุญเติม ทวีวรรณ ศรีสุขคำ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 31 31 ประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุอำเภอเมืองจังหวดัสุโขทัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/267819 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุและกลุ่มควบคุม ก่อนทดลองและหลังทดลอง สุ่มกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่ายได้พื้นที่ 2 ตำบล คือ ตำบลบ้านกล้วยเป็นกลุ่มทดลอง และตำบลปากแคว เป็นกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ เป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการให้ความรู้ตามปกติของหน่วยบริการ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามสถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ด้วย independent t-test และPaired t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 65.62 ปี (S.D.= 2.90) รายได้เฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 14,301.53 บาท ระดับความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุหลังการได้รับโปรแกรมพบกลุ่มทดลองมีระดับความรู้เพิ่มขึ้นก่อนทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.80 หลังทดลอง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ8.93 คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองหลังการได้รับโปรแกรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเท่ากับ30.26 (S.D.=2.14) สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ p&lt; .01 และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเปรียบเทียบภายหลังการทดลองแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ p&lt; .01 จากผลการวิจัยโปรแกรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุสามารถใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควบคุมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองได้</p> วรางคณา วสุรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 48 48 ถอดบทเรียนในระยะเริ่มต้นของโรงเรียนเบาหวานบางระกำภูวดลโมเดล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/267992 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์บทเรียนการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในระยะเริ่มต้นของโรงเรียนเบาหวานบางระกำภูวดลโมเดล โดยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการจำนวน 40 คน เครื่องมือวิจัยคือ แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า บทเรียนการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ประกอบด้วย 1) การบริการเชิงรุกของทีมสุขภาพ ได้แก่ ให้บริการเชิงรุกที่มีเป้าหมายชัดเจน ส่งเสริมและติดตามผลการจัดการตนเองของผู้ป่วย และตัดสินใจปรับเปลี่ยนการดูแลจากข้อมูลเชิงวิชาการ 2) การจัดการตนเองของผู้ป่วย ได้แก่ หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง รับประทานยาตามการรักษาของแพทย์ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามความเหมาะสม ตรวจเลือดและพบแพทย์ตามนัด และเรียนรู้การเข้ากลุ่มไลน์แอพลิเคชั่น 3) ผลลัพธ์ทางคลินิกที่พึงประสงค์ ได้แก่ ระยะสั้นมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดน้อยกว่าร้อยละ 7 และระยะยาวไม่ต้องรับประทานยาลดระดับน้ำตาลในเลือด 4) ปัจจัยส่งเสริมความสำเร็จของการดูแล ได้แก่ ผู้ป่วยมีวินัยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผู้บริหารโรงพยาบาลเป็นหัวหน้าโครงการ และทีมสุขภาพมุ่งมั่นทำงานอย่างมีเป้าหมาย และ 5) ปัจจัยขัดขวางความสำเร็จของการดูแล ได้แก่ ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารโดยไลน์แอพลิเคชั่น และผู้ป่วยให้ความสำคัญกับการประกอบอาชีพมากกว่าการดูแลสุขภาพ</p> นงนุช โอบะ สุภาพร แนวบุตร ปทุมา ฤทธิ์โพธิ์ ศิระ ปานแย้ม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 60 60 การพัฒนารูปแบบกลไกการประสานความร่วมมือและกำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการ ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจให้กับ องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรณีศึกษาจังหวัดเพชรบูรณ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/270428 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การถ่ายโอน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) 2) การพัฒนารูปแบบกลไกการประสานความร่วมมือและกำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการของ รพ.สต. และ 3) ประเมินผลการพัฒนารูปแบบการประสานความร่วมมือและกำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการของ รพ.สต. ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ระยะเวลาดำเนินการ เดือนกรกฎาคม 2566 - มีนาคม 2567 เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลวิจัยพบว่า จังหวัดเพชรบูรณ์ มี รพ.สต.ทั้งหมด 154 แห่ง ถ่ายโอนไปสังกัด อบจ. 62 แห่ง (40.26%) การถ่ายโอน รพ.สต. มี 2 รูปแบบ คือ 1) อำเภอที่มีการถ่ายโอนไปทุกแห่ง 1 อำเภอ และ 2) อำเภอที่มีการถ่ายโอนไปบางแห่ง 10 อำเภอ รูปแบบการประสานความร่วมมือและกำกับดูแลมาตรฐานการให้บริการของ รพ.สต. ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจให้กับ อบจ.เพชรบูรณ์ คือ PHET MODEL ประกอบด้วย P:Participation คือกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วม, H:Health Service คือกระบวนการจัดระบบบริการสุขภาพ, E:Empowerment คือกระบวนการเสริมพลัง และ T:Teamwork คือกระบวนการทำงานเป็นทีม <br />ผลการพัฒนาฯ พบว่า ก่อนดำเนินการมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบฯ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง หลังดำเนินการมีความพึงพอใจ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> พชร มาเทียน ประทุม เมืองเป้ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 110 110 การพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ จังหวัดเพชรบูรณ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/267246 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพยากรณ์จำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบรายเดือน ปี พ.ศ. 2566 <br />ของจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบรายเดือนจากสำนักระบาดวิทยา <br />กรมควบคุมโรค ปี พ.ศ. 2546 ถึง 2565 ด้วยวิธีบอกซ์และเจนกินส์ แบบจำลองฤดูกาล ARIMA หรือ SARIMA (Seasonal Autoregressive Integrated Moving Average) วิธีการแยกตัวประกอบแบบจำลองการคูณที่คำนวณดัชนีฤดูกาลตามวิธีสัดส่วนต่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MMRMA) และแบบจำลองตามทฤษฎีระบบเกรย์แล้วแจกแจง ค่าพยากรณ์รายเดือนด้วยดัชนีฤดูกาลตามวิธีสัดส่วนต่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (GREYRMA) ผลการวิจัยพบว่า จำนวนผู้ป่วยมีจำนวนค่อนข้างสม่ำเสมอในช่วงต้นปีถึงกลางปี และเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม และแต่ละปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การเลือกแบบจำลองจากเกณฑ์พิจารณาความแม่นยำด้วยค่าร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (Mean Absolute Percentage Error, MAPE) เมื่อพิจารณาค่าจริงเทียบกับ ค่าพยากรณ์ในอดีต 240 เดือน แบบจำลอง SARIMA มี MAPE ร้อยละ 21.11 ต่ำกว่า MMRMA ร้อยละ 10.19 แต่เมื่อพิจารณาค่าพยากรณ์รายเดือน ปี พ.ศ. 2566 เปรียบเทียบกับค่าจริงเดือน มกราคม ถึง ตุลาคม พบว่า มีค่า MAPE ของวิธี SARIMA, GREYRMA และ MMRMA ร้อยละ 63.32, 82.81, และ, 41.74 ตามลำดับ การพยากรณ์ด้วยแบบจำลอง MMRMA มีความใกล้เคียงกับข้อมูลจริงในปี พ.ศ. 2566 มากกว่า จึงเป็นค่าพยากรณ์ที่น่าจะยอมรับได้สำหรับเดือน พฤศจิกายน และธันวาคมที่เหลืออยู่</p> ธิติมา กิ่งกระโทก วัฒนา ชยธวัช Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 126 126 รูปแบบการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/270404 <p>การวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการปฏิบัติงานพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษากระบวนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มจากผู้ให้ข้อมูลหลัก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประกอบด้วย 6 กิจกรรม กิจกรรมที่ 1 การประชุมค้นหาปัญหาของบริการระดับปฐมภูมิ กิจกรรมที่ 2 การวิเคราะห์สภาพปัญหาของพื้นที่โดยใช้ PBL กิจกรรมที่ 3 การจัดทำแผนงาน/โครงการแก้ไขปัญหา กิจกรรมที่ 4 จัดกิจกรรมตามแผนงาน/โครงการ โดยใช้กระบวนการ PDCA กิจกรรมที่ 5 การควบคุม กำกับ ติดตามและประเมินผล กิจกรรมที่ 6 การสรุปและถอดบทเรียนรูปแบบการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดเชียงใหม่ ระยะที่ 3 การประเมินประสิทธิผลโปรแกรมการทดลองรูปแบบการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จังหวัดเชียงใหม่ โดยนำรูปแบบการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประกอบด้วย 1) ด้านการบริหาร 2) ด้านการบริการ 3) ด้านวิชาการ ไปทดลองใช้กับบุคลากรสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 30 คน เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลองจากแบบสอบถาม เพื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการทดลองโปรแกรมการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ค่าคะแนนเฉลี่ยระบบบริการปฐมภูมิแต่ละด้านภายหลังการทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ด้านการบริหาร (P-value&lt;0.001) ด้านการบริการ (P-value&lt;0.001) ด้านวิชาการ (P-value&lt;0.001) ตามลำดับ</p> สุรสิทธิ์ เทียมทิพย์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 141 141 การสอบสวนอุบัติเหตุหมู่รถบัสทัศนศึกษาสองชั้น ชนกับรถยนต์คู่กรณีแล้วเสียหลักพุ่งลงข้างทางถนนทางหลวงหมายเลข 1318 (ศรีสำโรง-ศรีนคร) ตำบลปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/264340 <p>ความเป็นมา : สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก (สคร. 2) ได้รับแจ้งข่าวจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย วันที่ 17 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 23.30 น. เกิดอุบัติเหตุหมู่รถบัสทัศนศึกษาสองชั้น ชนกับรถยนต์ส่วนบุคคล SUV คู่กรณี แล้วเสียหลักพุ่งลงข้างทาง บนถนนทางหลวงหมายเลข 1318 (ศรีสำโรง-ศรีนคร) ตำบลปากน้ำ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย มุ่งหน้าอำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ทีมสอบสวนการบาดเจ็บ สคร. 2 ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย สำนักงานสาธารณสุขอำเภอสวรรคโลก โรงพยาบาลสวรรคโลก โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านมาบป่าเลา ที่ว่าการอำเภอสวรรคโลก องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำ และสถานีตำรวจภูธรสวรรคโลก ได้ดำเนินการสอบสวนการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในวันที่ 22-23 มีนาคม 2566 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; วิธีการศึกษา : รวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางการแพทย์ สำรวจถสถานที่เกิดอุบัติเหตุ สภาพยานพาหนะที่เกิดเหตุ สัมภาษณ์ผู้ประสบเหตุและผู้ให้การช่วยเหลือ วิเคราะห์หาปัจจัยที่นำไปสู่การบาดเจ็บด้วยวิธีการตามหลัก Haddon’s Matrix Model</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการสอบสวน : พบผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นพนักงานบริการบนรถบัส 1 ราย และผู้โดยสารรถบัส 1 ราย บาดเจ็บ 42 ราย บุตรสาวพนักงานขับรถบัส 1 ราย ครูและนักเรียนโดยสารรถบัส 40 ราย และคนขับรถยนต์ส่วนบุคคล SUV 1 ราย และยานพาหนะ 2 คัน ผู้บาดเจ็บมีอายุตั้งแต่ 14-64 ปี ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่ได้รับการกระแทกจากอุปกรณ์ภายในรถ พบว่า อวัยวะที่ได้รับการบาดเจ็บสูงสุด คือ ขา และแขน</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สรุปและอภิปรายผล : คาดว่าสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดจากทัศนวิสัยในการมองเห็นไม่ดี : เกิดเหตุช่วงเวลากลางคืน ไม่มีไฟส่องสว่าง ฟิล์มสีดำทึบ สภาพถนน : ถนนอยู่ระหว่างการก่อสร้างไม่มีเส้นแบ่งช่องจราจร ไม่มีเส้นไหล่ทาง ไม่มีสัญญาณเตือนหรือป้ายเตือน ข้างไหล่ทางเป็นร่องระบายน้ำทางการเกษตรที่มีความลึกชัน และความผิดพลาดของผู้ขับรถบัสทัศนศึกษา 2 ชั้น ในการหักหลบทำให้พุ่งลงข้างทาง</p> ศิริรัตน์ ตันไสว ทวีศักดิ์ ทองบู่ อนัญญา ชุ่มธิ นพรักษ์ อยู่น้อย Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-12 2024-06-12 11 2 78 78