วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs
<p><strong><img src="https://img2.pic.in.th/pic/--2---A4.png" width="591" height="835" /></strong></p> <p>วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรคสคร.2 เป็นวารสารทางวิชาการ จัดเผยแพร่โดย สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 พิษณุโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่วิทยาการเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ขอบเขตรวมโรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เป็นนิพนธ์ต้นฉบับ<em><strong>ต้องผ่านEC</strong></em> และการสอบสวนโรค งานที่ส่งมาให้พิจารณาเพื่อลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 จะต้องไม่เคยเผยแพร่ ตีพิมพ์หรือกำลังรอพิมพ์ในวารสารอื่น <a href="https://www.youtube.com/watch?v=9yaF84unBa4&list=PLOrQT_hNaT1zyaEPwfbN5WdUbOQL_lQ0X">วิธีส่งบทความ </a></p> <ul> <li class="show"> <p><strong>แจ้งเปลี่ยนแปลงการเผยแพร่บทความวิชาการ เป็นวารสารออนไลน์</strong></p> <p>เปลี่ยนแปลงการเผยแพร่บทความวิชาการ เป็นวารสารออนไลน์เท่านั้น ไม่มีการพิมพ์เล่ม โดยสามารถสืบค้นบทความวิชาการได้จากเวปไซต์ มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป</p> </li> </ul>
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก
th-TH
วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
3057-1502
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ข้อลิขสิทธิ์วารสาร </span></span></p> <p>บทความหรือข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฏในวารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร. 2 พิษณุโลก เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน กองบรรณาธิการวิชาการ และ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลกไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยทั้งหมดหรือร่วมรับผืิดชอบใดๆ หากพบว่าบทความของท่านมีการคัดลอกผลงานทางวิชาการ (plagiarism) มากกว่า 25 เปอร์เซ็นวารสารขอปฏิเสธการตีพิมพ์เผยแพร่ทุกกรณี <a href="https://drive.google.com/file/d/1WtZAokFtImd6fFSHWQ4ewQ6ODmBtX4TJ/view">วิธีตรวจสอบการคัดลอกผลงานทางวิชาการ (plagiarism) </a></p>
-
1.ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวาน ในอำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/269895
<p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานในอำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 235 คน โดยการสุ่มอย่างเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค การเข้าถึงแหล่งบริการสุขภาพ การได้รับข่าวสาร แรงสนับสนุนทางสังคม และพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยมีค่าความเชื่อมั่น 0.681, 0.643, 0.640, 0.603, 0.658, 0.662, 0.658, 0.639, 0.678 และ 0.641 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ไคสแควร์และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ดำเนินการศึกษาเดือนสิงหาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2565</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารอยู่ในระดับปานกลาง ด้านปัจจัยนำ พบว่า ส่วนใหญ่มีความรู้ การรับรู้ความรุนแรง และการรับรู้โอกาสเสี่ยง อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนทัศนคติ การรับรู้ประโยชน์ และการรับรู้อุปสรรค อยู่ในระดับสูง ด้านปัจจัยเอื้อ พบว่า การเข้าถึงแหล่งบริการสุขภาพอยู่ในระดับต่ำ และด้านปัจจัยเสริม พบว่า การได้รับข่าวสารอยู่ในระดับปานกลาง และแรงสนับสนุนทางสังคมอยู่ในระดับระดับสูง ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ อาชีพ (p = 0.003) การรับรู้ประโยชน์ (p = 0.048) และการเข้าถึงแหล่งบริการสุขภาพ (p = 0.012)</p>
รณิตา เต่าทอง
รุ่ง วงศ์วัฒน์
มินรดา พาริตา
วรัทยา ราชบุญมี
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
1
1
-
2. การประเมินความเสี่ยงการเกิดเบาหวานใน 12 ปี (Thai Diabetes Score) ของประชาชนอายุระหว่าง 15-34 ปี ในพื้นที่ทดลองใช้ Application Smart อสม. จังหวัดพิจิตร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/271327
<p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานใน 12 ปีข้างหน้า ของประชาชนอายุระหว่าง 15-34 ปี ในพื้นที่นำร่องการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมาร์ท อสม. จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างจำนวน 138 คน เครื่องที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เก็บข้อมูลโดยแอปพลิเคชัน สมาร์ท <br />อสม. วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ต่ำสุด-สูงสุด และวิเคราะห์การถดถอยพหุโลจิสติก กำหนดค่าความเชื่อมั่น 95% CI ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.005</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานใน 12 ปีข้างหน้า อยู่ในระดับเสี่ยงสูง ( =15.20,S.D.=14.82) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับเสี่ยงสูงและสูงมากต่อการเป็นโรคเบาหวานใน 12 ปีข้างหน้า ได้แก่ เพศ (Adj. OR= 4.79, 95%CI: 1.92-11.91, p-value=0.001) ค่าดัชนีมวลกาย (Adj.OR= 46.31, 95%CI: 12.47-172.04, p-value<0.001) และมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน (Adj.OR= 18.33, 95%CI: 6.30-53.32, p-value <0.001) ข้อเสนอแนะ ควรเน้นการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพในประชาชนในช่วงอายุ 15-34 ปี ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและหรือมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน เพื่อสร้างความรู้ ความตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงและให้สามารถป้องกันตนเองไม่ให้พัฒนาเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานในอนาคตต่อไป</p>
ศิริพักตร์ มัฆวาล
วัชรา จันทร์กระจ่าง
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
15
15
-
3.ความสัมพันธ์ของปริมาณฝนกับจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออก จังหวัดเพชรบูรณ์ และคุณภาพอากาศกับจำนวนผู้ป่วยโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/270973
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝนกับจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออก 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพอากาศกับจำนวนผู้ป่วยโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศ และ 3) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณน้ำฝนมีความสัมพันธ์กับคุณภาพอากาศในจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากกรมอุตุนิยมวิทยา กองระบาดวิทยา กรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงสาธารณสุข วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสองตัวแปรด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียร์แมน ( ) ผลการวิเคราะห์พบว่า ปริมาณฝนเฉลี่ยรายเดือนมีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกรายเดือนไปในทิศทางเดียวกันอยู่ในระดับต่ำ ( 0.411 ค่าพี 0.004) คุณภาพอากาศมีความสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยโรคเฝ้าระวังจากมลพิษทางอากาศไปในทางเดียวกันเพียงโรคหอบหืด (Asthma) โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) <br />โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ส่วนความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามคือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โดยมีสหสัมพันธ์ในระดับต่ำมาก และไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่โรคคออักเสบเฉียบพลัน (Acute Pharyngitis) มีสหสัมพันธ์ระดับสูงมีสหสัมพันธ์กับ PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5</sub> ( -0.767 ค่าพี < .001 และ -0.762 ค่าพี < .001 ตามลำดับ) ปริมาณน้ำฝนมีความสัมพันธ์กับคุณภาพอากาศในทางตรงกันข้ามระดับสูงมีสหสัมพันธ์กับ PM<sub>10</sub> และ PM<sub>2.5</sub> ( -0.83 ค่าพี < .001 และ -0.836 ค่าพี < .001 ตามลำดับ) </p>
ธิติมา กิ่งกระโทก
วัฒนา ชยธวัช
ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ
Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
33
33
-
4.การเสริมพลังอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านด้วยสื่อนวัตกรรมเชิงเนื้อหาเพื่อยกระดับ ความรอบรู้ด้านสุขภาพและการรู้เท่าทันสื่อ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/272321
<p>อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระดับปฐมภูมิ แต่อสม.ยังขาดทักษะการรู้เท่าทันสื่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบสื่อนวัตกรรมเชิงเนื้อหา เพื่อเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและการรู้เท่าทันสื่อของ อสม. ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 2 ของประเทศไทย การศึกษานี้มี อสม. เข้าร่วมจำนวน 402 คน จาก 5 จังหวัด ผลการศึกษาพบว่า อสม. มีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพปานกลาง และขาดทักษะความรู้เท่าทันสื่อ ความรอบรู้ด้านสื่อสุขภาพของ อสม. เพิ่มขึ้นปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 3.22) การเปิดรับสื่อส่งผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและความเข้าใจในการส่งเสริมสุขภาพของ อสม. ความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. เพิ่มขึ้น 1.16 โดยความสามารถในการจัดการสุขภาพตนเองเพิ่มขึ้น 0.241 การเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น 0.25 การตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพและวิถีชีวิตเพิ่มขึ้น 0.28 และการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดลง 0.17 การพัฒนารูปแบบสื่อประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ 1) การให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อ 2) การสร้างความเข้าใจประเด็นการจัดการสุขภาพชุมชน และ 3) การผลิตสื่อนวัตกรรมเชิงเนื้อหา ข้อแนะนำจากการศึกษานี้คือ ให้ขยายเครือข่ายนักสื่อสารสุขภาพ เพิ่มการฝึกอบรม อสม. ส่งเสริมสื่อนวัตกรรมเชิงเนื้อหาโดยชุมชน และบูรณาการหลักการแพทย์วิถีชีวิตในกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ</p>
ศิริเกษม ศิริลักษณ์
พนิดา จงสุขสมสกุล
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
52
52
-
5.การพัฒนารูปแบบการสร้างสุขภาพดีวิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดเพชรบูรณ์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/273311
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาและศึกษาผลของรูปแบบและประเมินผลปฏิบัติการสร้างสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียงและความพึงพอใจต่อปฏิบัติของผู้ป่วยโรคเบาหวาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอวังโป่ง 8 แห่งและโรงพยาบาลวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 150 คนและกลุ่มเปรียบเทียบ 150 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบทดสอบการสร้างสุขภาพและแบบบันทึกภาวะสุขภาพ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ Chi-square และ t-test และ paired t-test ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการสร้างสุขภาพดีวิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วย 1.การอบรมและการฝึกปฏิบัติ 2.การปฏิบัติตนของผู้ป่วยในแต่ละวัน ใช้หลัก 3 ส., 3อ. และ 1น. 3. การติดตามเยี่ยมเสริมพลังอย่างต่อเนื่อง และ4.การประเมินผล ผลของการใช้รูปแบบที่พัฒนา พบว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน พฤติกรรมสุขภาพ ระดับน้ำตาลในเลือดดีกว่าก่อนการสร้างสุขภาพ และดีกว่าการสร้างสุขภาพแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value<0.05) ความพึงพอใจต่อรูปแบบการสร้างสุขภาพที่พัฒนาขึ้นอยู่ในระดับมากร้อยละ 80.0 รูปแบบการสร้างสุขภาพแบบใหม่นี้ ทำให้เกิดประสิทธิผลที่ดี สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน</p>
นภาพร พิมพ์สิงห์
ขรรชัย สุวรรณชาติ
จีรยุทธ ใจเขียนดี
เพชรนัน สิงหะ
สมทรง สีที
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
66
66
-
6.ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรสวนส้มเขียวหวาน ตำบลแม่สิน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/274045
<p>การศึกษาครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ของเกษตรกรสวนส้มเขียวหวาน ตำบลแม่สิน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามจากตัวแทนครัวเรือนเกษตรกรสวนส้มเขียวหวานผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากที่สุด จำนวน 427 ครัวเรือน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการจัดการ ซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 57.6) ปัจจัยที่มีอิทธิพลพฤติกรรมการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรสวนส้มเขียวหวาน ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม (Beta = 0.419) การรับรู้ประโยชน์ของการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Beta = 0.239) สถานภาพในครอบครัว (Beta = 0.126) และรายได้ต่อเดือน (Beta = 0.086) ตามลำดับ ทั้งหมดสามารถร่วมกันทำนายพฤติกรรมการจัดการซากบรรจุภัณฑ์สารเคมีกำจัดศัตรูพืชของเกษตรกรสวนส้มเขียวหวาน ได้ร้อยละ 29.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
สุมาลี แก้วเนย
วรวิทย์ อินทร์ชม
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
87
87
-
7.ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชน ตำบลวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/274476
<p>การวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม<br />โรคไข้เลือดออกของประชาชน ประชากร คือ ประชาชนซึ่งเป็นตัวแทนของหลังคาเรือน มีอายุ 20 ปีขึ้นไป และอาศัยอยู่ในพื้นที่จริง จำนวน 2,399 คน โดยใช้สูตรการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Daniel เท่ากับ 303 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการป้องกันและควบคุม<br />โรคไข้เลือดออก แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค เท่ากับ 0.907 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ไคสแควร์ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของประชาชนประกอบด้วย ความพอเพียงของทรัพยากรการป้องกันโรค (P-value = 0.002) การมีทักษะในการใช้ทรัพยากรการป้องกันโรค (P-value <0.001) การได้รับการสนับสนุนหรือกระตุ้นเตือนในการป้องกันโรค <br />(P-value = 0.020) ตามลำดับ สามารถทำนายได้ร้อยละ 34.6 (R<sup>2 </sup>= 0.346) ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />ทั้งภาครัฐและเอกชนควรให้การสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ในการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออก <br />อีกทั้งควรหาแนวทางการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อเสริมทักษะในการป้องกันและควบคุม<br />โรคไข้เลือดออกให้ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพ</p>
รัตติกาล พุ่มไพรขจร
พุฒิพงศ์ มากมาย
อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
103
103
-
8.ปัจจัยพยากรณ์พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโป่งแค ตำบลวังประจบ อำเภอเมือง จังหวัดตาก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/273881
<p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยพยากรณ์ที่พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ประชากรคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโป่งแค โดยใช้สูตรคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Daniel เท่ากับ 180 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ คุณลักษณะส่วนบุคคล การรับรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำไปทดลองใช้เพื่อวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาค อยู่ระหว่าง 0.80 – 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับสูง (78.89%) พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อยู่ระดับปานกลาง (56.11%) และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ทำนายผลต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้แก่ การรับรู้ถึงประโยชน์ (P-value=0.042) การรับรู้ต่ออุปสรรค (P-value=0.021) และสิ่งชักนำให้เกิดการปฏิบัติ (P-value=0.152) ตามลำดับ <br />ตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัว ดังกล่าวนี้ สามารถทำนายพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตรับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโป่งแค ตำบลวังประจบ อำเภอเมือง จังหวัดตาก <br />ได้ร้อยละ 20.1 (R<sup>2</sup> =0.201) </p>
สิริวิมล เกิดศรี
จิระภา ขำพิสุทธิ
อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
117
117
-
9.ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการตนเอง ของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/dpcphs/article/view/275111
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ กลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงอายุ 35-50 ปี จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ใช้ระยะเวลาในการศึกษา 8 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired samples t-test ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value<0.001) ค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการจัดการตนเองในการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value<0.001) ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซีสโตลิกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value<0.001) และค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตไดแอสโตลิกต่ำกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value=0.017)</p> <p> งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพมีประสิทธิผลช่วยให้กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงมีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม</p>
พัชรนันท์ วงษ์พิมพา
อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ
จิระภา ขำพิสุทธิ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการป้องกันควบคุมโรค สคร.2 พิษณุโลก
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-08
2025-01-08
12 1
129
129