ปัจจัยที่มีผลต่อการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่มาติดตามการรักษาที่ คลินิกแสงตะวัน โรงพยาบาลราชบุรี
Main Article Content
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผล ต่อการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอของผู้ติดเชื้อ เอชไอวี/เอดส์ที่มาติดตามการรักษาที่คลินิกแสงตะวัน โรงพยาบาลราชบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นผู้ติดเชื้อเอดส์/ ผู้ป่วยเอดส์จำนวน212 รายเป็นชาย99 รายเป็นหญิง 113 ราย ชึ่งได้ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นซึ่งประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้ตอบแบบสอบถามแบบสอบถามความสมำเสมอในการรับประทานยาต้านไวรัสแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับยาต้าน ไวรัส และแบบสอบถามความเชื่อด้านสุขภาพเกี่ยวกับการ รักษาด้วยยาต้านไวรัส ผู้วิจัยทำการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงอันดับ ของสเปียร์แมน
ผลการศึกษาพบว่า 1. ผู้ติดเชื้อเอดส์มีระดับความสม่ำเสมอในการรับ ประทานยาต้านไวรัสอยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 89.76 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 9.65 2. ผู้ติดเชื้อเอดส์มีระดับความรู้ในการใช้ยาต้าน ไวรัสโดยรวมผ่านเกณฑ์ 3. ผู้ติดเชื้อเอดส์มีระดับความเชื่อด้านสุขภาพโดย รวมในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ใน ระดับดี ยกเว้นด้านการรับรู้อุปสรรคอยู่ในระดับปานกลาง 4. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอันดับ พบว่า มีตัวแปรอิสระ 1 ตัว คือ ความรู้เกี่ยวกับยาต้านไวรัสโดย รวมมีความสัมพันธ์กับความสม่ำเสมอในการรับประทานยา ต้านไวรัสได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.018)
ข้อเสนอแนะจากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ บุคลากรใน ทีมสุขภาพควรให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้ติดเชื้อเอช ไอวี/เอดส์รายใหม่ที่จะเริ่มยาต้านไวรัสครั้งแรกให้ตระหนักถึงการรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะ ในช่วง 1 – 3 เดือนแรกซึ่งอยู่ในช่วงการปรับพฤติกรรมการ รับประทานยาต้านไวรัสให้สอดคล้องกับกิจวัตรประจำวัน
Article Details
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
Journal of Safety and Health is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) licence, unless otherwise stated.
References
ทินมณี ทิพย์ปัญญา (2547) ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และการรับรู้เกี่ยวกับการใช้ยาต้านไวรัสกับความมีวินัยใน การรับประทานยาของผู้ป่วยโรคเอดส์ จังหวัดเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่.
วิไลลักษณ์ พึ่งพิบูลย์ (2549) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศในผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วย เอดส์ที่ได้รับยาต้านไวรัส. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาล ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาลเวชปฏิบัติ ครอบครัว, มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี.
รจนาไฉนสิงหเรศร์ (2550)ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับ ประทานยาอย่างสม่ำเสมอในผู้ป่วยวัณโรค. วิทยานิพนธ์ ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาล ผู้ใหญ่, มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี.
วิทยา ศรีดามา (2545) แนวทางการใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ สำหรับผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อ HIV พ.ศ. 2546. สารราช วิทยาลัยอายุรแพทย์. 9 (5), 15 – 19.
ศุภรินทร์ หาญวงศ์ (2548) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย คัดสรร ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาต้านไวรัสและความ เชื่อด้านสุขภาพกับการรับประทานยาต้านไวรัสอย่าง สม่ำเสมอของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์. วิทยานิพนธ์ ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ พยาบาลผู้ใหญ่, มหาวิทยาลัยบูรพา, ชลบุรี.
Adriana, A. et al. (2002). Correlates and predictors of adherence tohighly active antiretroviral therapy: Overview of pubished Iiterature. Journal of Acquired Immune Deficfifiiency Syndromes, 31 (3), 123 – 127.
Andrea, A.H. et. al. (2002). A prospective study of adherence andviral loadina large multi-center cohort of HIV-infected woman. AIDS, 16 (16), 2175 – 2182.
Becker, M.H. (1974). The health model and sick role behavior. In The health belief model and personal health behavior. New Jersey; Charles B. Slack.
Becker, M.H. (1990). Theoretical models of adherence and strategies for improving adherence. In S.A. Shumaker,E.B. Schron, and J.K. Ockene (Eds.), The handbook of health behavior change. New York: Springer Publishing.
Becker, M.H. and Janz, N.K. (1984). The health belief model and: A decade later. Health Education Quarterly, 11 (1), 1 – 47.