ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบก จังหวัดอุดรธานี

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก ของทหารบกจังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างเป็นทหารบกปฏิบัติงานพื้นที่จังหวัดอุดรธานีจำนวน 338 คน ได้มาโดยสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือเป็นแบบสอบถามหาคุณภาพโดยใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบราคได้ค่าความเชื่อมั่นด้านเจตคติเท่ากับ .892 การรับรู้ ความเชื่อด้านสุขภาพเท่ากับ .851 และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเท่ากับ .911 เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2564 ถึงมีนาคม 2565 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยสถิติไคสแควร์สถิติสัมประสิทธิสห สัมพันธ์ของเพียร์สันและหาสมการทำนาย ด้วยสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ

ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีเจตคติด้านการดูแลสุขภาพช่องปากภาพรวมระดับมาก ( 4.19, S.D. 732) การรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพภาพรวมระดับมาก ( 4.21, S.D.597) พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากภาพรวมระดับมาก ( 4.44, S.D. 832) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ อายุราชการ สถานภาพสมรส รายได้ เจตคติ การรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ และการได้รับคำแนะนำสนับสนุนจากบุคลากร ปัจจัยที่สามารถทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกได้แก่ อายุราชการ เจตคติและความเชื่อด้านสุขภาพโดย ร่วมกันทำนายพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารบกได้ร้อยละ 54.5 (R2 = .545) จากผลการวิจัยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพัฒนาเจตคติ การรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของทหารและพัฒนาระบบบริการทันตสุขภาพ ให้มีคุณภาพ