ผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการของครอบครัวต่อทักษะการดูแล ของผู้ดูแลด้านการเคลื่อนไหวร่างกายระยะแรกในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
คำสำคัญ:
โปรแกรมส่งเสริมการจัดการของครอบครัว, ทักษะการดูแลของผู้ดูแล, การเคลื่อนไหวร่างกาย, ระยะแรก, ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองบทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองวัดแบบอนุกรมเวลา เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมการจัดการของครอบครัวต่อ ทักษะการดูแลด้านการเคลื่อนไหวร่างกายระยะแรกในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลอายุ 18 ปีขึ้นไป คัดเลือก แบบเฉพาะเจาะจงแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 36 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมการจัดการของครอบครัว วีดีทัศน์ตัวแบบการฝึกทักษะการเคลื่อนไหวร่างกายระยะแรก และคู่มือความรู้สำหรับผู้ดูแลดำเนินการตามโปรแกรมเป็น 3 ระยะ รวบรวมข้อมูลโดย 1) แบบสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนบุคคลผู้ดูแล 2) แบบประเมินทักษะการดูแลด้านการทำกิจวัตรประจำวัน 3) แบบ ประเมินทักษะการดูแลด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยใช้แบบคัดกรองผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเข้ากลุ่มโดยใช้แบบประเมิน กลาสโกว์และแบบประเมินการทำกิจวัตรประจำวัน ตรวจสอบค่าความตรงกับผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่านได้ 0.90-0.93 ค่าความเชื่อมั่น สัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค 0.88-0.93 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Chi-squares test, Friedman test, Repeated measures ANOVA, และ Bonferroni test
ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลของผู้ดูแลภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้านทักษะการดูแลกิจวัตร ประจำวันสัปดาห์ที่ 1, 4 และ 8 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p<.001) ส่วนคะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลการเคลื่อนไหวร่างกาย พบว่า กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ p <.001 และ p<.05 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มใน สัปดาห์ที่ 1, 4 และ 8 พบว่า คะแนนเฉลี่ยทักษะการดูแลกิจวัตรประจำวันและทักษะการดูแลการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ดูแล สัปดาห์ที่ 1 ไม่แตกต่างกัน แต่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001 และ p<.05) ผลการวิจัยสนับสนุน แนวคิดการจัดการของครอบครัว คือทำให้ผู้ดูแลเกิดกระบวนการพัฒนาทักษะการดูแลด้านการเคลื่อนไหวร่างกายระยะแรกอย่าง เป็นระบบ
Downloads
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Trends in Maternal Mortality ; 2012
Central and Disease Control. CDC Health Information for International Travel. Oxford University Press; 2016
World Stroke Organization. Annual report. World Stroke Organization.Retrieved ; 2016
Ministry of Public Health Office of Policy and Strategy. New incidence stroke; 2018
Neurology. Nursing care for patients with strokes; 2009
Kwok T, Lo, R. S, Wong E, Wai-Kwong T, Mok V, & Kai-Sing W. Quality of life of stroke survivors: a 1-year follow-up study. Archives of Physical Medcine and Rehabilitation 2006 ; 87(9), 1177-1182.
Saposnik G, Mamdani M, Bayley M, Thorpe K. E, Hall J, Cohen L. G, & Teasell R. Effectiveness of Virtual Reality Exercises in Stroke Rehabilitation (EVREST): ationale, design, and protocol of a pilot randomized clinical trial assessing the Wigaming system. International Journal of Stroke 2010; 5(1), 47-51.
Tieges Z, Mead G, Allerhand M, Duncan F, Wijck F, Fitzsimons C., & Chastin S. Sedentary behavior in the first year after stroke: alongitudenal cohort study with objective measures. Archives of Physica Medicine and Rehabilitation 2015; 96(1),15-23.
Askim T, Bernhardt J, Salvesen, & Indredavik B. Physical activity early after stroke and its association to functional outcome 3 months later. Journal of Stroke and Cerebrovascular Diseases 2014; 23(5), e305-e312.
Chainarong I, Pinyopasakul W, Kusuma S Na-Ayuthya,Koositamongkol S. The relationships among attitude toward exercise, subjective norms, perceived behavioral control and walking exercise intention in post stroke patients after hospital discharge. Journal of The Royal Thai Army Nurses, 2017;18(2): 178-85.(in Thai).
Ryan P, & Sawin K. J. The individual and family self-management theory: background and perspectives on context, process, and outcomes. Nursing Outlook 2009; 57(4), 217-225.
Mores G, Whiteman R, Knobl P, Ploeg J, Cahn M, Klaponski L, & Lindle A. Pilot evaluation of the family informal caregiver stroke self-management program. Canadian Journal of Neuroscience Nursing 2012; 35(2), 18-26.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อคิดเห็นใดใดที่ปรากฏในวารสารพยาบาลทหารบกเป็นวรรณกรรมของผู้เขียน ซึ่งบรรณาธิการหรือสมาคมพยาบาลทหารบก ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลทหารบก
The ideas and opinions expressed in the Journal of The Royal Thai Army Nurses are those of the authors and not necessarily those
of the editor or Royal Thai Army Nurses Association.
