การพัฒนาหลักสูตรการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการสุขภาพตนเอง ของผู้ป่วยและผู้ดูแล
คำสำคัญ:
หลักสูตรการพยาบาล, การจัดการตนเอง, ผู้ป่วย, ผู้ดูแลบทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการสุขภาพตนเองของผู้ป่วยและ ผู้ดูแล ดำเนินการวิจัย 3 ระยะ 1) ศึกษาสถานการณ์ 2) พัฒนาหลักสูตร 3) ทดลองใช้และปรับแก้ไขหลักสูตร กลุ่มตัวอย่างเป็น พยาบาลของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 70 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินโครงร่าง หลักสูตรฯ แบบทดสอบความรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจในการฝึกอบรมหลักสูตรฯ เครื่องมือทั้ง 3 ชุด ผ่านการตรวจสอบ ความตรงตามเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และหาค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบความรู้ด้วย KR – 20 ได้ 0.75 และแบบสอบถาม ความพึงพอใจ ด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค ได้ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า หลักสูตรฯ ประกอบด้วย 6 โมดูล หลักสูตรฯ มีความเหมาะสมระดับมากที่สุด และค่าดัชนีความ สอดคล้อง = 1.00 ประเมินการนำหลักสูตรไปใช้ พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ของพยาบาลหลังอบรมเพิ่มขึ้นกว่าก่อนอบรมอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และพยาบาลมีความพึงพอใจในระดับมาก แสดงว่าหลักสูตรฯ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขควรส่งเสริมให้พยาบาลที่ปฏิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศอบรมหลักสูตรนี้ เพื่อประโยชน์ ต่อการจัดการสุขภาพตนเองของผู้ป่วยและผู้ดูแล
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. Strategic and Planning Division, Office of the Permanent Secretary. Summary of Important Health Statistics in Year 2013. (in Thai).
3. Ryan P, Sawin K J. The individual and family self-management theory: Background and perspectives on context, process, and outcomes. Nursing outlook 2009; 57(4):217-225.
4. Wattana C. Handbook of guidelines for applying self-management theories to practice in enhancing the self-health management of the people. (Duplicate). 2019. (in Thai).
5. Thailand Nursing and Midwifery Council. Professional Nursing and Midwifery Act. Vol.2 (1985) and Amended by Professional Nursing and Midwifery Act Professional Nursing and Midwifery Act. Vol.2 (1997). 2nd Edition. Bangkok: Golden Point Co.Ltd (in Thai).
6. Srisuphan W, Senarat W, Nuntabud K. Health Promotion Innovation, under Nursing Professional Role. Nursing Professional’ Drive for Health Promotion. (2nd Edition). Bangkok: Mata Publishing, Co.Ltd. 2016. (in Thai).
7. Knowles, M.S. The modern practice of adult education: From pedagogy to andragogy. New York: Cambridge, the Adult Education Company. 1980.
8. Tyler, R.W. Education 206: Basic Principles of Curriculum and Instruction. University of Chicago Press, Chicago, 1949.
9. Petpichetchian W. Health Promotion: Nursing Role. Bangkok: Mata Publishing, Co.Ltd. 2016. (in Thai).
10. Ian Scott, Debbie Mazhindu. Statistics for Healthcare Professionals An Introduction. (2nd Edition). Singapore: SAGE Publications Asis-Pacific Pte Ltd. 2014.
11. Songwatthanayuth P, Polin S. The Curriculum for Nursing Students in the 21st Century: Case study and Transformative Learning. Journal of The Royal Thai Army Nurses 2019;20 (2): 10-16. (in Thai).
12. Sathira-Angkura T. Ministry of public health reform and mechanism in nursing service quality development of regions. Journal of Nursing Division 2013; 40 (3): 1-8.
13. Chunthai K, Haruthai C, Sathira-Angkura T, Suwonkesawong S, Kwansathapornkul K. Model Development of Chief Nursing Officer’ s Network for Health Promotion. Journal of The Royal Thai Army Nurses 2018; 19 (1): 241-252 (in Thai).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อคิดเห็นใดใดที่ปรากฏในวารสารพยาบาลทหารบกเป็นวรรณกรรมของผู้เขียน ซึ่งบรรณาธิการหรือสมาคมพยาบาลทหารบก ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลทหารบก
The ideas and opinions expressed in the Journal of The Royal Thai Army Nurses are those of the authors and not necessarily those
of the editor or Royal Thai Army Nurses Association.
