การศึกษาความสัมพันธ์และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการรับประทาน อาหารและการดื่มน้ำของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือด ด้วยเครื่องไตเทียม
คำสำคัญ:
ความสัมพันธ์ของปัจจัย, ปัจจัยที่มีอิทธิพล, การรับประทานอาหารและการดื่มน้ำ, ผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมบทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านการรับรู้สุขภาวะกับการ ปฏิบัติพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดื่มน้ำของผู้ป่วย 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลพฤติกรรมการรับประทานอาหารและ การดื่มน้ำของผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการรักษาวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จำนวน 137 คน เลือกตามคุณสมบัติที่กำหนดจากการสุ่มหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล การรับรู้สุขภาวะของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม พฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดื่มน้ำของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม วิเคราะห์ ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันและสถิติถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษาพบว่า (1) การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมการรับรู้ความ เชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดภาวะแทรกซ้อน การเคยรักษาตัวจากภาวะน้ำเกิน การรับรู้ปัจจัย กระตุ้นให้เกิดและระดับการศึกษา มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการดื่มน้ำอย่างมีนัยสำคัญที่สถิติ ที่ระดับ .05 (r = .546, .510, .508 , .473, .379, .177 , .177 และ .134 p<.05) (2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลพฤติกรรมการรับประทาน อาหารและการดื่มน้ำของผู้ป่วย ได้แก่ การรับรู้ความเชื่อมั่นความสามารถแห่งตน การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติ การรับรู้ประโยชน์ ของการปฏิบัติ และการรับรู้โอกาสเสี่ยง สามารถพยากรณ์ร่วมกันได้ร้อยละ 66.7 (R2 = .667,p<.05 ) สรุปได้ว่าการรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรคในการปฏิบัติพฤติกรรมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ พฤติกรรมระดับสูง และการรับรู้ความเชื่อมั่นความสามารถแห่งตน การรับรู้อุปสรรคของการปฏิบัติ การรับรู้ประโยชน์ของการปฏิบัติ และการรับรู้โอกาสเสี่ยงเป็นปัจจัยที่ควรนำไปพัฒนาเป็นโปรแกรมเสริมสร้างการรับรู้สุขภาวะพฤติกรรมการรับประทานอาหารและ การดื่มน้ำของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมและศึกษาต่อมากที่สุด
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. Theptrakanporn,S.,Mongkongsumrit,S.,Keawdok, T.,Vatthanasuy.S.,Rakkapoa,N. Evaluation and lesson distilled on implementation of Chronic Kidney Disease clinic, under policy of Ministry of Public Health. Bangkok: Faculty of Health Sciences Thammasat University: Re-search Report. 2017. (In Thai).
3. Chuasuwan, A., Praditpornsilpa, K.. Thailand renal replacement therapy year 2014. Report of The Nephrology Society of Thailand, 2014. (In Thai).
4. Kidney Disease Association of Thailand. Hemodialysis Clinical PracticeRecommendation 2014. Bangkok : October prints, 2014. (In Thai).
5. Wongsaree,C. Nursing Care on Receiving Hemodialysis Patient with the Health Teaching. EAU Heritage Journal Science and Technology. 2015; 9(1): 15-24. (In Thai)
6. Wongsaree,C. Kidney & Urinary disease : Medical and Surgical Nursing Care .Bangkok; N P Press Litmited Partnership, 2016. (In Thai).
7. Wongsaree,C., and Kittiyawan, J. An Intensive Educational Program on Therapeutic Vo-lume Overload for End Stage Chronic Renal Disease Patients Receiving Hemodialysis: Hemodialysis Nurses’ Roles. HCU journal. 2017; 21(41):137-150. (In Thai)
8. Wongsaree,C. Effects of an intensive educational program on fluid restriction knowledge and behaviors in end stage renal disease patients on receiving hemodialysis [Thesis MS.N. in adult Nursing ]. Huachiew Chalermprakiet University: Samutprakarn. 2014. (In Thai).
9. Wongsaree,C.,Harnyut,O. The Nursing Process in End - Stage Renal Disease Patients on Receiving Hemodialysis. Journal of The Police Nurse. 2014; 6(2):220-233. (In Thai).
10. Varitsakul, R.Data Management in Healthcare Delivery for Chronic Kidney Disease Pa-tients. Journal of The Royal Thai Army Nurses. 2017; 18 (1): 122 – 130. (In Thai).
11. Rosenstock, Irwin M., Victor J. Strecher, and Marshall H. Becker. Social learning theory and the health belief model. Health education quarterly. 1988; 15 (2): 175-183.
12. Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. Determining sample size for research activities. Educa-tional and Psychological Measurement.1970; 30: 607-610.
13. Bandura, Albert. The self system in reciprocal determinism. American psychologist .1978; 33(4) : 344.
14. Maio, Gregory R., et al. Attitudes and intergroup relations. The SAGE handbook of preju-dice, stereotyping, and discrimination, 2010: 261-275.
15. Wongsaree, C. Perception of and Self-management in Sexuality Dysfunction among Male Patients with End-Stage Renal Disease Receiving Hemodialysis.
Journal of Nursing Science Chulalongkorn University. 2016; 28(3): 55-67. (In Thai).
16. Budsankom,P.Selection of predictive variables in multiple regression equations. Journal of education Mahasarakham University. 2012; 17 (1): 43 – 60. (In Thai).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความหรือข้อคิดเห็นใดใดที่ปรากฏในวารสารพยาบาลทหารบกเป็นวรรณกรรมของผู้เขียน ซึ่งบรรณาธิการหรือสมาคมพยาบาลทหารบก ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลทหารบก
The ideas and opinions expressed in the Journal of The Royal Thai Army Nurses are those of the authors and not necessarily those
of the editor or Royal Thai Army Nurses Association.
