ความแม่นยำของเส้นรอบคอในการทำนายความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า
บทคัดย่อ
ความเป็นมา: โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และไขมันที่คอ วิธีการวินิจฉัย Obstructive Sleep Apnea ปัจจุบันใช้ค่าดัชนีมวลกายซึ่งสะท้อนถึงการกระจายตัวของไขมันโดยรวมแต่ไม่ได้บ่งบอกไขมันที่คออย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การกระจายของไขมันที่คอสามารถอนุมานได้จากเส้นรอบคอซึ่งเป็นตัวบ่งชี้รูปร่างในประชากรได้ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของเส้นรอบคอต่อความรุนแรงและหาจุดตัดที่เหมาะสมของเส้นรอบคอในการทำนายความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ในโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษารูปแบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระหว่าง มกราคม 2564 - เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้น 64 ราย ข้อมูลตามแบบบันทึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นวิเคราะห์หาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติอนุมาน Chi-square test หรือ Fisher exact ในตัวแปรแจงนับและสถิติ one way ANOVA ในตัวแปรเชิงปริมาณ วิเคราะห์หาค่าจุดตัดที่เหมาะสม โดยใช้ diagnostic test แสดงค่าความไว และ area under the receiver operating characteristic curve (AUROC) ผลการศึกษา: ในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นระหว่าง มกราคม 2564 - เมษายน 2567 รวมทั้งสิ้น 64 รายมีภาวะรุนแรงเล็กน้อย 13 ราย (ร้อยละ 20.32) รุนแรงระดับปานกลาง 14 ราย (ร้อยละ 21.87) และรุนแรงมาก 37 ราย (ร้อยละ 57.81) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย one way ANOVA พบว่า ค่าเส้นรอบคอมีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) กลุ่มผู้ป่วย OSA ระดับปานกลางพบจุดตัดเส้นเส้นรอบคอที่ 37.5 โดยมีค่าความไว 73% และความจำเพาะ 85% AUROC 79% ส่วนกลุ่ม OSA ระดับรุนแรงพบจุดตัดเส้นเส้นรอบคอที่ 38.5 โดยมีค่าความไว 73% และความจำเพาะ 74% ROC 74% สรุป: เส้นรอบคอมีความสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ซึ่งควรปรับปรุงเส้นรอบคอใหม่ที่เหมาะกับประชากรชาวไทยในการทำนายความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น การหาค่าจุดตัดที่เหมาะสมของเส้นรอบคอในการทำนายความรุนแรงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นในประชากรประเทศไทยมีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากการระบุจุดตัดที่ถูกต้องสามารถช่วยในการวินิจฉัยและรักษาภาวะ OSA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และพัฒนาเครื่องมือการคัดกรอง OSA ที่เหมาะสมสำหรับประชากรไทยจึงมีความสำคัญในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพของประชากรในประเทศไทย
เอกสารอ้างอิง
Slowik JM, Sankari A, Collen JF. Obstructive Sleep Apnea. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2024.
Lévy P, Kohler M, McNicholas WT, Barbé F, McEvoy RD, Somers VK, et al. Obstructive sleep apnoea syndrome. Nat Rev Dis Primers 2015;1(1):15015.
Esteller E, Carrasco M, Díaz-Herrera MÁ, Vila J, Sampol G, Juvanteny J, et al. Clinical practice guideline recommendations on examination of the upper airway for adults with suspected obstructive sleep apnoea-hypopnoea syndrome. Acta Otorrinolaringol Esp 2019;70(6):364–72.
สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นในประเทศไทย สำหรับผู้ใหญ่ พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย; 2561.
Senaratna CV, Perret JL, Lodge CJ, Lowe AJ, Campbell BE, Matheson MC, et al. Prevalence of obstructive sleep apnea in the general population: a systematic review. Sleep Med Rev 2017;34:70–81.
Malhotra RK, Kirsch DB, Kristo DA, Olson EJ, Aurora RN, Carden KA, et al. Polysomnography for obstructive sleep apnea should include arousal-based scoring: An American academy of sleep medicine position statement. J Clin Sleep Med 2018;14(7):1245–7.
Masa JF, Corral J, Sanchez de Cos J, Duran-Cantolla J, Cabello M, Hernández-Blasco L, et al. Effectiveness of three sleep apnea management alternatives. Sleep 2013;36(12):1799–807.
Duarte RLM, Magalhães-da-Silveira FJ, Gozal D. Prediction of obstructive sleep apnea using GOAL questionnaire in adults with or without excessive daytime sleepiness: a cross-sectional study. Sleep Health 2021;7(2):212–8.
Chiu HY, Chen PY, Chuang LP, Chen NH, Tu YK, Hsieh YJ, et al. Diagnostic accuracy of the Berlin questionnaire, STOP-BANG, STOP, and Epworth sleepiness scale in detecting obstructive sleep apnea: a bivariate meta-analysis. Sleep Med Rev 2017;36:57–70.
Zhao Y, Yan X, Liang C, Wang L, Zhang H, Yu H. Incorporating neck circumference or neck-to-height ratio into the GOAL questionnaire to better detect and describe obstructive sleep apnea with application to clinical decisions. Frontiers in Neuroscience 2022;16:1-10.
Gasa M, López-Padrós C, Monasterio C, Salord N, Mayos M, Vilarrasa N, et al. Anthropometrical phenotypes are important when explaining obstructive sleep apnea in female bariatric cohorts. J Sleep Res 2019;28(5):e12830.
Ryan AS, Elahi D. Hydrodensitometry: Encyclopedia of Gerontology. 2nd ed. San Diego: Academic Press; 2007.
Fattal D, Hester S, Wendt L. Body weight and obstructive sleep apnea: a mathematical relationship between body mass index and apnea-hypopnea index in veterans. J Clin Sleep Med 18(12):2723–9.
Loh JMR, Toh ST. Rethinking neck circumference in STOP-BANG for Asian OSA. Proc Singap Healthc 2019;28(2):105–9.
Carvalho WRC, França AKT da C, Santos AMD, Padilha LL, Bogea EG. Appropriate neck circumference and waist-to-height ratio cut-off points as predictors of obesity and cardiovascular risk in adolescents. Rev Saúde Pública 2023;57(24):1-14.
Kirsch DB. Obstructive Sleep Apnea. Continuum (Minneap Minn) 2020;26(4):908–28.
Soylu AC, Levent E, Sarıman N, Yurtlu S, Alparslan S, Saygı A. Obstructive sleep apnea syndrome and anthropometric obesity indexes. Sleep Breath 2012;16(4):1151–8.
Wongpradit W, Kulalert P, Sattaratpaijit N. Factor associated with severity of obstructive sleep apnea in Thammasat University hospital. AMJAM 2023;23(2):110–7.
Irman S, Mohamad H, Amran M, Mohamad I. Association between neck circumference and the severity of obstructive sleep apnea. Pol Ann Med 2020;27(1):1-6.
Kim SE, Park BS, Park SH, Shin KJ, Ha SY, Park J, et al. Predictors for Presence and Severity of Obstructive Sleep Apnea in Snoring Patients: Significance of Neck Circumference. J Sleep Med 2015;12(2):34–8.
Garzon SBA, Muñoz-Velandia OM, Ruiz AJ, Martínez PH, Otero L. Cut-off points of neck and waist circumference as predictors of obstructive sleep apnea in the Colombian population: A comparison with polysomnography. São Paulo Med J 142(3):e2022415.
Rhee SC. Differences between Caucasian and Asian attractive faces. Skin Res Technol 2018;24(1):73–9.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 สมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
