ความชุก ลักษณะ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเหตุ ความรุนแรงขณะปฏิบัติงานในสถานที่ทำางานของบุคลากร ทางการแพทย์หน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลภาครัฐในเขตบริการสุขภาพที่ 6
คำสำคัญ:
ความชุก, ปัจจัยที่เกี่ยวข้อง, เหตุความรุนแรงในสถานที่ทำงาน, บุคลากรทางการแพทย์, อุบัติเหตุฉุกเฉินบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุก ลักษณะ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเหตุความรุนแรง ขณะปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของบุคลากรทางการแพทย์หน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลภาครัฐในเขตบริการสุขภาพที่ 6 เป็นการศึกษา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามชนิดตอบด้วยตนเองที่มีการดัดแปลงมาจากแบบสอบถาม Workplace violence in health sector country case studies research instruments survey questionnaire by ILO/ICN/WHO/PSI Geneva 2003 ทำการเก็บข้อมูลในช่วงเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนธันวาคม ปีพ.ศ. 2560 มีกลุ่มตัวอย่างเข้าร่วม เป็นจำนวนทั้งสิ้น 472 คน
ผลการศึกษา ความชุกของการประสบเหตุความรุนแรงขณะปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานในช่วง 12 เดือนก่อนทางการศึกษา คิดเป็นร้อยละ 61.7 (95% CI : ร้อยละ 57.4 ถึง 65.9) โดยพบความชุกเหตุความรุนแรงทางวาจามากที่สุด รองลงมาเป็นเหตุความรุนแรงทางกาย และทางเพศ คิดเป็นร้อยละ 94.2 ร้อยละ 26.1 และร้อยละ 6.5 ตามลำดับ ผู้ก่อเหตุหลักของเหตุความรุนแรงทางกายและทางเพศ คือ ผู้ป่วย ส่วนผู้ก่อเหตุหลักของเหตุความรุนแรงทางวาจา คือ ญาติและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างมีการตอบสนองต่อเหตุความรุนแรงทางกายด้วยการบอกเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า ตอบสนองต่อเหตุความรุนแรงทางวาจาด้วยการไม่ตอบโต้ หรือเพิกเฉย และตอบสนองต่อเหตุความรุนแรงทางเพศด้วยการบอกให้หยุดการกระทำ ผู้ประสบเหตุความรุนแรงทั้งเหตุความรุนแรงทางกาย ทางวาจา หรือทางเพศ ส่วนใหญ่ไม่มีการเขียนรายงานเหตุการณ์ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดเหตุความรุนแรงทางกายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) คือ ปัจจัยเพศชาย มีประสบการณ์การทำงานน้อย ปัจจัยอาชีพ ระยะเวลาปฏิบัติงานเฉลี่ยมากกว่า 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดเหตุความรุนแรงทางวาจาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.05) คือ ปัจจัยอายุน้อย ประสบการณ์การทำงานน้อย ตำแหน่งผู้ปฏิบัติงาน มีลักษณะงานต้องปฏิสัมพันธ์โดยตรง
กับผู้ป่วยและญาติ มีการทำงานหมุนเวียนกะ และมีระยะเวลาปฏิบัติงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์เกินกว่า 48 ชั่วโมง
สรุปผลการศึกษา ความชุกของการเกิดเหตุความรุนแรงขณะปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ฉุกเฉินพบได้บ่อยครั้ง และส่งผลกระทบต่อบุคลากรทั้งทางร่างกาย จิตใจ ก่อให้เกิดความเหนื่อยหน่ายในการทำงาน หรือการลาออกจากงานก่อนเวลา การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ความชุก และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง อาจสามารถช่วยในการพัฒนา การวางแผนการป้องกันรับมือกับสถานการณ์ และหาแนวทางลดผลกระทบจากเหตุความรุนแรงขณะปฏิบัติงานในสถานที่ทำงานได้อย่างเหมาะสม
เอกสารอ้างอิง
2. Liu H, Zhao S, Jiao M, Wang J, Peters DH, Qiao H, et al. Extent, Nature, and Risk Factors of Workplace Violence in Public Tertiary Hospitals in China: A Cross-Sectional Survey. Int J Environ Res Public Health 2015;12(6):6801-17.
3. Martino Vd. Relationship between work stress and workplace violence in the health sector. Geneva: ILO/ICN/WHO/PSI; 2003.
4. Martino Vd. workplace violence in health sector country cases studies. ILO/ICN/WHO/PSI, editor Geneva; 2002.
5. Rugless MJ, Taylor DM. Sick leave in the emergency department: staff attitudes and the impact of job designation and psychosocial work conditions. Emerg Med ustralas
2011;23(1):39-45.
6. วันเพ็ญ ไสไหม, สุดาพรรณ ธัญจิรา, ณวีร์ชยา ประเสริฐสุขจินดา. ความรุนแรงในสถานที่ทำงานและการจัดการของบุคลากรทางการพยาบาลหน่วยงานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน. รามาธิบดีพยาบาลสาร. 2553;16(1):121-34.
7. กระทรวงสาธารณสุข. เกณฑ์การแบ่งระดับสถานบริการในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามระบบภูมิศาสตร์สารสนเทศ (Geographic Information System: GIS). นนทบุรี: สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข; 2556.
8. Wu S, Zhu W, Li H, Lin S, Chai W, Wang X. Workplace violence and influencing factors among medical professionals in China. Am J Ind Med 2012;55(11):1000-8.
9. Lepping P, Lanka SV, Turner J, Stanaway SE, Krishna M. Percentage prevalence of patient and visitor violence against staff in high-risk UK medical wards. Clin Med (Lond) 2013;13(6):543-6.
10. Cashmore AW, Indig D, Hampton SE, Hegney DG, Jalaludin B. Workplace abuse among correctional health professionals in New South Wales, Australia. Aust Health Rev 2012;36(2):184-90.
11 Forrest L, Parker R, Hegarty K, Tuschke H. Patient initiated aggression and violence in Australian general practice. Aust Fam Physician 2010;39(5):323-6.
12.Kamchuchat C, Chongsuvivatwong V, Oncheunjit S, Yip TW, Sangthong R. Workplace violence directed at nursing staff at a general hospital in southern Thailand. J Occup Health 2008;50(2):201-7.
13. Fujita S, Ito S, Seto K, Kitazawa T, Matsumoto K, Hasegawa T. Risk factors of workplace violence at hospitals in Japan. J Hosp Med 2012;7(2):79-84.
14. Mantzouranis G, Fafliora E, Bampalis VG, Christopoulou I. Assessment and Analysis of Workplace Violence in a Greek Tertiary Hospital. Arch Environ Occup Health 2015;70(5):256-64.
15. Wu JC, Tung TH, Chen PY, Chen YL, Lin YW, Chen FL. Determinants of workplace violence against clinical physicians in hospitals. J Occup Health 2015;57(6):540-7.
16. Alameddine M, Kazzi A, El-Jardali F, Dimassi H, Maalouf S. Occupational violence at Lebanese emergency departments: prevalence, characteristics and associated factors. J Occup Health 2011;53(6):455-64.
17. Uzun O. Perceptions and experiences of nurses in Turkey about verbal abuse in clinical settings. J Nurs Scholarsh 2003;35(1):81-5.
18. Fallahi-Khoshknab M, Oskouie F, Najafi F, Ghazanfari N, Tamizi Z, Afshani S. Physical violence against health care workers: A nationwide study from Iran. Iran J Nurs Midwifery Res 2016;21(3):232-8.
19. Gillespie GL, Pekar B, Byczkowski TL, Fisher BS. Worker, workplace, and community/environmental risk factors for workplace violence in emergency departments. Arch Environ Occup Health 2017;72(2):79-86.
20. อรรถสิทธิ์ อิ่มสุวรรณ. การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อระยะเวลาการรับบริการในห้องฉุกเฉินนานกว่า 4 ชั่วโมงของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ. ธรรมศาสตร์เวชสาร.2558;15(1):39-49.
21. Arnetz JE, Hamblin L, Ager J, Luborsky M, Upfal MJ, Russell J, et al. Underreporting of Workplace Violence:Comparison of Self-Report and Actual Documentation of Hospital Incidents. Workplace Health Saf 2015;63(5):200-10.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง