ประสิทธิผลของกระบวนการกลุ่มในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง: กรณีศึกษาอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
คำสำคัญ:
คุณภาพชีวิต, หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงบทคัดย่อ
ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาวะและคุณภาพชีวิต การดูแลผู้สูงอายุที่สำาคัญคือ การทำาให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงควรมีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จึงมีแนวคิดในการประยุกต์ใช้วิธีการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการกลุ่มในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การวิจัยเชิงกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่มในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ในอำาเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ จำานวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 30 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถพูดสื่อสารได้ดีมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และยินดีให้เข้าร่วมการศึกษากลุ่มทดลอง ได้เข้าร่วมโปรแกรมการเรียนรู้โดยกระบวนการกลุ่ม ส่วนกลุ่มควบคุม จำานวน 30 คน เป็นกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมสอนตามวิธีการปกติ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป การประยุกต์ใช้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีค่าความเที่ยง เท่ากับ .77 และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุมีค่าเที่ยง เท่ากับ .84 เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ ไม่เลย เล็กน้อย ปานกลาง มาก และมากที่สุด วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independent t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการประยุกต์ใช้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) ภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยการประยุกต์ใช้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้นด้านสังคมและวัฒนธรรมไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
ส่วนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ทั้งโดยรวมและรายด้านสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ยกเว้นด้านการมีอารมณ์ที่ดีและด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ
การศึกษานี้เสนอแนะว่า หน่วยบริการสุขภาพต่างๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรนำาแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่มไปเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดเพชรบูรณ์และจังหวัดอื่นๆ ให้เป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพต่อไป
เอกสารอ้างอิง
2. วิพรรณ ประจวบเหมาะ. โครงสร้างระบบการติดตามและประเมินผลแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564). จุฬาสัมพันธ์ (วารสารออนไลน์) วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม 2553;53(9). วันที่ค้นข้อมูล 8 สิงหาคม 2559. แหล่งข้อมูล : https://www.research.chula.ac.th/cu_online/2553/vol_9_l.html/.
3. Dupuis K, Kousaie S, Wittich W, and Spadafora P. Aging Research Across Disciplines: A Student-Mentor Partnership Using the United Nation Principles for Older Persons. Journal of Educational Gerontology. 2007; 33(4): 273-292.
4. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2549-2554). กรุงเทพฯ: คุรุสภา ลาดพร้าว; 2549.
5. สุพร คูหา. แนวทางการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลหนองขาว อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี. (รายงานการศึกษาอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต) สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น. บัณฑิตวิทยาลัย. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2552. (เอกสารอัดสำเนา)
6. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์. สรุปผลการสรุปการดำเนินงานผู้สูงอายุจังหวัดเพชรบูรณ์ ปี 2559. เพชรบูรณ์: กลุ่มงานส่งเสริมสุขภาพ สำานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์; 2559.
7. สิงหา จันทริย์วงษ์. รายงานการวิจัยการพัฒนารูปแบบที่เหมาะสมสำหรับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในชนบทโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง. สุรินทร์: สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์; 2551. (เอกสารอัดสำเนา)
8. Kelly B. Older and Wiser. U.S. News & World Report 2010; 147(2): 4.
9. จิราพร เกศพิชญวัฒนา. ความรุนแรงในผู้สูงอายุความจริงที่สังคมไทยคาดไม่ถึง. [อินเตอร์เน็ต] วันที่ค้นข้อมูล 4 กรกฎาคม 2559. แหล่งข้อมูล: ttp://www.thaihealth.or.th/node/12511/
10. ศากุล ช่างไม้. สังคมไทยกับสถานการณ์ผู้สูงอายุในปัจจุบันและอนาคต. กรุงเทพฯ: มติชน; 2550.
11. สุวดี เบญจวงศ์. ผู้สูงอายุ คนแก่และคนชรา: มิติทางสังคมและวัฒนธรรม. มนุษยสังคมสาร มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 2551; 1(1): 54-60.
12. วโรทัย โกศลพิสิษฐ์กุล. ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และศักดิ์ศรี. มติชนรายวัน. 2550; 30(1077): 6-7.
13. วิชาญ คงธรรม. Active learning และ passive learning ส่งผลต่อผู้เรียนต่างกันมาก. วันที่ค้นข้อมูล 15 พฤษภาคม 2558 แหล่งข้อมูล: https://www.e-manage.mju.ac.th/MISDocRef_19032557160248_OnFizeNiNizezeegFiTRFiOnSx%20(1).pdf
14. ศรีไพร ปอสิงห์ และ อนงค์ หาญสกุล. ประสิทธิผลการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้สูงอายุ ตำบลหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ. วารสารสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 ขอนแก่น; 2555; 19(1): 39-53.
15. John WB. Research in Education. New Jersey: Prentice Hall; 1970.
16. Polit DF and Hungler BP. Nursing Research: Principles and Methods (6th ed.). Philadelphia: J.B. Lippincott; 1999.
17. กรมสุขภาพจิต สำนักพัฒนาสุขภาพจิต. คู่มือจัดอบรมแบบมีส่วนร่วม. กรุงเทพมหานคร: วงศ์กมลโปรดักชัน จำากัด; 2543.
18. Walker SN, Sechrist KR and Pender NJ. The health promoting lifestyle profile; development and psychometric characteristics. NURS RES. 1987; 36(2) :76-81.
19. Best JW. Research in Education. 3nd. New Jersey : Prentice Hall; 1977.
20. สุพร คูหา. แนวทางการปรับปรุงคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุของเทศบาลตำาบลหนองขาว อำาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี. (รายงานการศึกษาอิสระปริญญารัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต). สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น บัณฑิตวิทยาลัย. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2552. (เอกสารอัดสำเนา)
21. วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ และคณะ. โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ. มหาสารคาม: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2548.
22. บังอร ธรรมศิริ. ครอบครัวกับการดูแลผู้สูงอายุ. วารสารการเวก. 2549; ฉบับนิทรรศการวันเจ้าฟ้าวิชาการ: 47-56.
23. Odebode OS. Participation of elderly women in community welfare activities in Akinyele local government, Oyo State, Nigeria. Australian Journal of Adult Learning. 2009; 49(3):591-609.
24. กระทรวงมหาดไทย. ยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ปี 2548-2551. กรุงเทพฯ: กรมการพัฒนาชุมชน; 2548.
25. พจนา ศรีเจริญ. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในสมาคมข้าราชการนอกประจำการในจังหวัดเลย. (วิทยานิพนธ์สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา). เลย: สถาบันราชภัฏเลย; 2548. (เอกสารอัดสำเนา).
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความที่ลงพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย ถือเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ วิจารณ์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้นิพนธ์ กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป และผู้นิพนธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง