ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้น ณ แผนกผู้ป่วยนอกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตในผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
วิธีการศึกษา ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่ได้รับการนัดหมายจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป กำหนดอายุระหว่าง 20 – 50 ปี ที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จำนวน 345 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม
ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 88.7 มีอายุ 41 ปีขึ้นไป ร้อยละ 55.7 มีระดับการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 40.9 ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส แต่งงาน/อยู่ด้วยกัน ร้อยละ 73.3 มีรายได้ครอบครัวต่อเดือน (รวมทุกคนในบ้าน) 15,000–30,000 บาท ร้อยละ 39.7 มีจำนวนบุตร 2-3 คน ร้อยละ 58.2 พ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดูหลัก ร้อยละ 70.7 กลุ่มตัวอย่างมีความเครียดในภาพรวมอยู่ในระดับสูง มีพลังสุขภาพจิตอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ และมีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับไม่ดี การทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ที่มีปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกัน ความเครียด และพลังสุขภาพจิต สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้ มีอำนาจในการพยากรณ์ได้ร้อยละ 77.3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยความเครียด สามารถพยากรณ์คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นได้มากที่สุด รองลงมาคือ พลังสุขภาพจิต โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยมาตรฐานเท่ากับ -.567 และ 255 ตามลำดับ
สรุป ความเครียด และพลังสุขภาพจิต สามารถร่วมกันพยากรณ์คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลเด็กสมาธิสั้นที่มารับบริการ ณ แผนกจิตเวชเด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ส่งมาเพื่อพิจารณา ต้องไม่เคยตีพิมพ์หรือได้รับการตอบรับให้ตีพิมพ์ในวารสารฉบับอื่น และต้องไม่อยู่ระหว่างการส่งไปพิจารณาในวารสารอื่น